ปธ.กมธ.สังคมสันติสุข ได้ข้อสรุปเรื่องเวลา เริ่มตั้งแต่ปี 48 จนกม.บังคับใช้-จ่อเพิ่มในบัญชีแนบท้าย เป็น 25 ฐานความผิด วางกรอบแล้วเสร็จใน 2 เดือน ย้ำไม่ลืมเสื้อแดง 53 ที่ยังไม่ได้เยียวยา ลั่นจะทำให้ดีที่สุด เพื่อคลี่คลายขัดแย้งการเมืองในสังคม ให้เดินหน้าชีวิตในฐานะผู้บริสุทธิ์ต่อไป หลังรับหนังสือจาก กลุ่มนิรโทษฯปชช.
วันนี้ (7ส.ค.) ที่รัฐสภากลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน พร้อมด้วยทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นผู้รับเรื่อง
น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนเครือข่ายฯ กล่าวว่าร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 3 ฉบับที่ผ่านวาระแรกของสภาฯ อาจยังไม่ครอบคลุมคดีทางการเมืองตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จึงเสนอข้อพิจารณาเพิ่มเติม 4 ข้อ คือ1. ขอให้การนิรโทษกรรมครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2548 จนถึงวันที่ พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้ 2. ขอให้พิจารณาเพิ่มฐานความผิดในบัญชีแนบท้าย ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 12 ข้อ หรือราว 20 ฐาน อาจตกหล่น 3. ขอให้รวมการนิรโทษกรรมเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปีในทุกฐานความผิด เนื่องจากตั้งแต่ปี 2563 มีเยาวชนถูกดำเนินคดีแล้วถึง 286 ราย 4. ขอให้มีตัวแทนภาคการเมืองและภาคประชาชนเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการพิจารณาคดี เพื่อให้ไม่ตกหล่นสิทธิของผู้เกี่ยวข้อง และเปิดช่องให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาหลังครบกำหนดเวลาการทำงานของคณะกรรมการ รวมถึงเสนอให้พิจารณามาตรการเยียวยาควบคู่ไปกับการนิรโทษกรรม โดยเฉพาะผู้ที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารช่วงประกาศกฎอัยการศึก (20 พ.ค. 2557 – 31 มี.ค. 2558)
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุว่า 2 ข้อเสนอแรกเป็นเรื่องที่เห็นพ้องกันอยู่แล้ว โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีมติให้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ส่วนบัญชีแนบท้าย ซึ่งปัจจุบันมี 12 ข้อ ได้มีมติให้ขยายเป็น 25 ฐานความผิด ตามรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาก่อนหน้า และยังเปิดช่องให้เพิ่มเติมในกรณีพบว่ามีคดีตกหล่น
ในส่วนข้อเสนอเรื่องเยาวชนและองค์ประกอบคณะกรรมการ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า จะรับไว้พิจารณาในชั้น กมธ. โดยหลักการไม่ได้ขัดแย้งกับแนวทางที่ กมธ. วางไว้
“คณะกรรมาธิการชุดนี้มีทั้งผู้เห็นต่างและผู้เห็นด้วยทางการเมือง แต่เรามีเป้าหมายเดียวกัน คือการคลี่คลายความขัดแย้งในรอบ 20 ปี โดยใช้ร่างกฎหมายนี้เป็นเครื่องมือ เราจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน และพร้อมขยายเวลาในการประชุมหากจำเป็น” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวว่าเปิดเผยว่า ตนไม่เคยคาดคิดว่าจะเข้ามาทำหน้าที่ในสภา แต่เพราะติดตามเรื่องนิรโทษกรรมมาตลอด ทั้งในฐานะผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้เคยหารือกับแกนนำทุกฝ่าย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และผู้ต้องขังในเรือนจำ จึงตัดสินใจเข้าร่วมเป็น กมธ. เพื่อผลักดันให้เกิดการนิรโทษกรรมที่ครอบคลุมและเป็นธรรม
“ผมบอกกับผู้ต้องขังทางการเมืองว่า สภารับมาแบบนี้ และผมจะเข้าไปเป็น กมธ. เราเข้าใจกัน และเราจะทำให้ดีที่สุด แม้วันนี้ความขัดแย้งยังชัดเจนและลึกซึ้ง แต่เราต้องทำให้สังคมไทยพร้อมเปิดโอกาสให้คนได้กลับมาตั้งต้นชีวิตใหม่ ในฐานะ ‘ผู้บริสุทธิ์’”
นายณัฐวุฒิยังกล่าวถึงกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ชายชุดดำ” จากเหตุการณ์ปี 2553 ซึ่งถูกคุมขังและต่อสู้คดีจนศาลยกฟ้อง แต่ยังไม่ได้รับการเยียวยาตามมติ ครม. สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยระบุว่าจะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะ กมธ. ด้วย
“เราจะผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ออกมาดีที่สุด เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่จบทุกอย่างในห้องประชุม แต่ทุกคนในคณะกรรมาธิการกำลังพยายาม และภารกิจบางอย่างก็ต้องทำนอกห้องประชุมเช่นกัน” นายณัฐวุฒิกล่าวทิ้งท้าย