เมื่อวันที่ 4 ส.ค.68 ดร.ธิรินทร์ ณ ถลาง ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่าหลังจากเข้ามารับตำแหน่งในเดือนก.พ.68 ได้จัดทำแผนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรในช่วงปี 68-69 โดยแผนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักได้แก่
1.แผนงานสร้างกำไร ประกอบด้วยโครงการพัฒนา ผลิตภัณฑ์หรือบริการ หรือพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับองค์การคลังสินค้า โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์พื้นที่คลังสินค้า และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบลงทุน
2.แผนงานสร้างความโปร่งใส ประกอบด้วยโครงการแก้ไขกฎระเบียบและข้อบังคับภายในองค์กรให้ทันสมัยและรองรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และโครงการยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส เพื่อพัฒนาระบบงานและภาพลักษณ์ขององค์กรสู่การเป็นองค์กรธรรมาภิบาล
3.แผนงานสร้างความทันสมัย ประกอบด้วยโครงการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความสอดคล้องกับบทบาทและภารกิจใหม่ โครงการสรรหาบุคลากรในตำแหน่งสำคัญขององค์กร ได้แก่ผู้บริหารระดับรองผู้อำนวยการและผู้ช่วยฯ เพื่อขับเคลื่อนงานเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานประชุม และโครงการพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่และนวัตกรรมใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร
“แผนผู้อำนวยการ อคส. ประจำปี 68 จะเป็นฐานในการดำเนินงานต่อเนื่องในปี 69 ด้วย เพื่อเสริมสร้างรากฐานธรรมาภิบาลและวางระบบบริหารใหม่ เพื่อปรับองค์กรสู่ความทันสมัย โปร่งใส และยั่งยืน พร้อมรองรับบทบาทใหม่ของ อคส.โดยเน้นการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจควบคู่กับทางสังคม พร้อมก้าวสู่การสนับสนุนภารกิจของภาครัฐและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน” ดร.ธิรินทร์ กล่าว
อนึ่ง อคส. เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงพาณิชย์ มีอำนาจและหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. 2498 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง โดยให้องค์กรมีอำนาจรวมถึง 1) ดำเนินการผลิต การค้า การรับฝากขาย การรวบรวม การขนส่ง สินค้าเกษตรและ สินค้าอุปโภคบริโภค 2) การให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค 3) การประกอบกิจการคลังสินค้า 4) ส่งเสริมการผลิตตลอดจนกิจการค้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค ของคนไทยทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร