“ภูมิธรรม - เดชอิศม์” แถลงผลสอบที่ดินเขากระโดงชัดเจนเป็นของรถไฟ ยึดคำสั่งศาลฎีกา-ศาลปกครอง พร้อมสั่งเพิกถอนที่ดิน 5 พันไร่ตั้งแต่ 2 ส.ค.นี้ สนามฟุตบอล-สนามแข่งรถ หากครอบครองที่ดินโดยชอบให้ฟ้องเรียกเสียหาย -มีแนวทางเยียวยา ลั่นไม่ใช่เกมไล่บี้ทางการเมืองฝ่ายสีน้ำเงิน ขณะที่ "พรพจน์ เพ็ญพาส" ขอย้ายพ้นอธิบดีกรมที่ดินแล้ว ขณะที่ กก.ฝ่ายดีเอสไอยันมีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน ชัดเจนที่ดินของรถไฟ
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 1 ส.ค. ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ พร้อมด้วยนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง ต.อิสาณและต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐาโมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง นายมานะ สิมมาที่ปรึกษาด้านกฎหมายสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ร่วมแถลงข่าว
โดยนายภูมิธรรม ระบุว่า เรื่องที่ดินเขากระโดง มีข้อค้างคา ข้อขัดแย้ง หรือพิจารณาที่แตกต่างกันมาตลอด และตนได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้ยื่นหนังสือมา ที่ขอให้พิจารณาวินิจฉัยว่า เขากระโดงเป็นที่ดินของรัฐเมื่อศาลมีคำสั่งแต่เหตุใดจึงไม่มีการจัดการให้เหมาะสมและถูกต้องเป็นไปตามคำสั่งของศาล โดยได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม โดยมีนายเดชอิศม์ ในฐานะกำกับดูแลกรมที่ดินเป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อไต่สวนเรื่องต่างๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 สค. นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ได้ยื่นเรื่องขอย้ายจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และไม่มีส่วนได้เสีย เป็นเรื่องนี้ปลัดกระทรวงมาหดไทย จะดำเนินการย้ายไปอยู่ตำแหน่งใดนั้นก็ว่าไปตามกระบวนการ
นายเดชอิศม์ กล่าวว่า ที่ดินกว่า 5,000 ไร่อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา และคำพิพากษาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้วทางการรถไฟฯได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดิน เพื่อให้ทำการเพิกถอนโฉนดที่ดิน แต่ในขณะนั้นกรมที่ดินเพิกเฉย ไม่ทำตามศาลฎีกา การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทำการฟ้องกรมที่ดินกับศาลปกครองกลาง เพื่อให้กรมที่ดินเพิกถอนตามคำสั่งศาลฎีกา แต่ปรากฏว่าศาลปกครองกลางได้พิพากษาว่า ให้เพิกถอนโฉนดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา
ส่วนไหนที่ไม่มีปัญหาเรื่องขอบเขตให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 วรรค 8 ได้เลย แต่ยังมีส่วนหนึ่งที่มีการแย้งเข้ามา เรื่องขอบเขตที่ดินข้างนอก เมื่อมีปัญหาแบบนี้ ท้ายของคำพิพากษาของศาลปกครองมีคำสั่งว่าให้อำนาจอธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด เพื่อทำประมวลกฎหมายมาตรา 61 วรรคสอง ให้กรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ร่วมกับการรถไฟฯ เพื่อสอบเขตที่ไม่ชัดเจน เพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากนั้นจะได้เพิกถอนตามคำพิพากษาของศาลฎีกา
แต่ในขณะนั้นกรมที่ดิน ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ซึ่งตามที่คณะกรรมการจะทำให้ครบตามคำสั่งศาลฎีกา ที่เป็นขอบเขตที่ละเอียด แต่ปรากฏว่าตามรายงานไม่มีการสอบเขตเลย แถมมีคำสั่งว่าให้ยุติเรื่อง ด้วยเหตุผลต่างๆนานา อธิบดีกรมที่ดินเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการชุดนั้น
หลังจากนั้นเป็นที่พูดถึงกันมีพี่น้องทั้งประเทศไทย ทำไมกรมที่ดิน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกา นอกจากไม่ปฏิบัติตามแล้ว ยังปฎิบัติตรงข้ามค้านสายตาชาวไทย ค้านสายตาผู้พิพากษา เมื่อตนได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับโอกาสจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มากำกับดูแลกรมที่ดิน ได้รับหนังสือร้องเรียนเกือบทุกวันว่า จะแก้ปัญหาอย่างไรกับเรื่องเขากระโดง
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่าคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินถูกต้องหรือไม่ โดยผลสรุปของคณะกรรมการระบุว่าคณะกรรมการชุดนั้นตามมาตรา 61 วรรคสอง ไม่ได้ทำตาม กระบวนการที่ครบถ้วน ฉะนั้นคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินเลยไม่ชอบ ตนจึงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าระหว่างกรมที่ดินและการรถไฟมีการสอบเขตแล้วหรือไม่ ผลปรากฏว่าใน ปี 2567 กรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันสอบแนวเขตมาชัดเจนแล้ว วันนี้สรุปได้ว่าอธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดเขากระโดงตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 วรรค 8 ได้เลย
ขณะที่นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 8027/2561 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 หมายเลขคดี เลขแดง ที่ 1112/2563 และคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เลขแดงที่ 548/2566 ศาลที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นที่ดินรถไฟที่มีไว้ใช้ในราชการตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 3 (2) และได้รับความคุ้มครองมาตรา 6 (1) และ(2) โดยมีขอบเขตพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกาและแผนที่แสดงเขตที่ดินเพื่อสร้างทางรถไฟ และเพื่อจัดหาแหล่งวัสดุมาใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟและลำเลียงอิฐ ซึ่งจัดทำขึ้นเสร็จเรียบร้อย 18 พฤษภาคม 2465 กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เนื่องจากมีหน้าที่และอำนาจในการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคล และการจัดการที่ดินของรัฐรวมทั้งดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ดังนั้นกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน จึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล โดยการตรวจสอบและเพิกถอนโฉนดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินออกให้ในที่ดินของรัฐซึ่งตนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติและแก้ไข คำสั่งทางปกครองตามคำพิพากษาของศาลฎีกาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลอุทธรณ์กลาง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า จากกรณีดังกล่าวได้รับการร้องเรียนเรื่องเขากระโดงและสื่อมวลชนมีการเปิดประเด็นว่าการดำเนินการนั้นโดยชอบหรือไม่ เนื่องจากขัดกับที่ศาลปกครอง ศาลฎีกา และศาลอาญา ที่ได้มีการสรุปและตัดสินไปแล้วว่าที่ดินนี้เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเรื่องการบังคับใช้ซึ่งหากดูแผนที่ที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ จากรัชกาลที่ 5 ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นที่ดินของหลวงและเป็นที่ดินของรัฐโดยแท้ และเมื่อปี 2465 มีการออกพระราชกฤษฎีกา และขณะนั้นมีชาวบ้านครอบครอง 18 ครอบครัว และการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ไปซื้อที่ดินมาจากชาวบ้าน ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ในอดีตที่ดินที่มีการครอบครองจากชาวบ้านได้ขายให้การรถไฟฯ ซึ่งถือว่าเป็นที่ดินของการรถไฟโดยชอบทั้งหมด ฉะนั้นโดยกระบวนการทางกฎหมายที่ดินต่างๆ จะต้องถูกประกาศยกเลิกขีดฆ่าออกจากสารบบเพราะเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญ หลังจากที่ได้ดำเนินการและฟ้องร้องกัน
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ใจกลางของที่ดินทำสนามฟุตบอลและสนามรถแข่งรถของที่ดินแปลงนี้ จึงมิชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่ทำให้เอกชนมายึดครองและที่ดินของรัฐ แล้วมาอ้างว่าเป็นที่ดินของตัวเอง จากการสืบสวนสอบสวนได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง สรุปออกมาอย่างไรก็ยืนยันว่าเป็นที่ดินของรัฐ และศาลได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 61 (8) กรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนได้ทันที ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.เป็นต้นไป ฉะนั้นที่ดินเหล่านี้ตกเป็นของรัฐ จึงจะดำเนินการตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ส่วนที่ดินชายขอบที่มีปัญหาอยู่บ้าง ที่มีการทับซ้อน จะต้องมีการตรวจสอบ หากเป็นเอกชนรายใดก็จะต้องมีการดำเนินการต่อจากนั้นให้เกิดความชัดเจนตามกรอบของที่ดิน ทั้งนี้ นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดินได้ยื่นใบขอย้ายออกจากกรมที่ดิน เพื่อให้สามารถพิจารณาเรื่องต่างๆให้ชัดเจน และไม่ต้องคำนึงว่าท่านเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งปลัดกระทรวงก็จะดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป
เมื่อถามว่าประชาชนที่ได้ที่ดินมาโดยสุจริตจะต้องเยียวยาอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นไปตามกระบวนการความยุติธรรมและตามกฏหมาย แต่ทั้งหมดนี้ต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐ สามารถยึดครองได้ และขีดฆ่าโฉนดที่ดินได้ ถ้าใครได้มาอย่างถูกต้องก็ให้ว่าไปตามกฎหมาย มีสิทธิ์เสนอเรื่องเข้ามาฟ้องร้องก็ได้ ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่ต้องยืนยันว่าที่ดินตอนนี้เป็นของรัฐ ถ้าจะมีการขอเช่าต่อก็ว่าไปตามกระบวนการไม่ว่ากัน
เมื่อถามว่าเป็นเกมไล่บี้เครือข่ายพรรคภูมิใจไทยและบ้านใหญ่บุรีรัมย์ต่อเนื่องจากการโยกย้ายอธิบดีกรมการปกครอง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่การไล่บี้ เพราะสื่อมวลชนทุกสาขาไล่บี้เรื่องนี้กับตนมาโดยตลอด โดยเมื่อตนเข้ามาทำหน้าที่ได้มีประชาชนเข้ามายื่นเรื่องให้ตรวจสอบ ไม่เกี่ยวกับการไล่บี้หรือไม่ไล่บี้ใคร หรือไม่พอใจใคร หรือพอใจใคร แต่เกี่ยวกับที่ศาลฎีกาและศาลปกครองมีคำสั่งที่เป็นยุติแล้ว และที่ผ่านมามีการดำเนินการตามคำสั่งของศาลไม่ครบถ้วน ซึ่งได้มีการมาเคลียร์และดูตรงนี้ทั้งหมด พบว่าสามารถดำเนินการตามกฎหมาย 61 วรรค 8 ซึ่งสามารถดำเนินการนำที่ดินกลับมาเป็นของรัฐตามที่ประชาชนเฝ้ามองอยู่ ซึ่งว่ากันไปตามกฏหมาย ซึ่งตรงนี้หากใครมองว่าไม่ชอบอย่างไรก็สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ แต่เรามีหน้าที่ทำให้ที่ดินส่วนนี้ กลับมาเป็นที่ดินของรัฐ เพราะไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาในเรื่องของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และยังมีอีกกฎหมายที่เราต้องรับผิดชอบร้ายแรง
เมื่อถามว่าคนที่จะมาเพิกถอนที่ดินเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ จะเป็นอธิบดีคนใหม่ใช่หรือไม่ และจะใช้แนวทางตามที่กล่าวข้างต้นใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีท่านไหนก็ต้องดำเนินการ เพราะเป็นคำสั่งศาล ที่ได้มีคำสั่งมายังกรมที่ดิน และอำนาจเพิกถอนเป็นของกรมที่ดิน แต่ถ้าไม่มี ก็เป็นผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆ ที่จะต้องบังคับดำเนินการ
เมื่อถามว่าจะได้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่เมื่อไหร่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนจะเร็วหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการทั้งหมด ที่ตนนั้นดูแลเรื่องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงงบประมาณที่จะต้องนำมาใช้ในการเยียวยา นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ต้องชัดเจนก่อนว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมายละเมิด
เมื่อถามว่า การดำเนินการตั้งแต่พรุ่งนี้ ในพื้นที่ตรงกลางที่เป็นของประชาชนมีจำนวนเท่าไหร่ นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการ ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะกรรมการ กล่าวว่า พื้นที่ตรงกลางคิดเป็น 90% ของ 800 แปลง ซึ่งสามารถดำเนินการได้
เมื่อถามว่า แผนที่ที่นำมาแสดงอยู่ในพระราชกฤษฎีกาเวียนคืนที่ดิน นายไกรศรี กล่าวว่า แผนที่ที่นำมาแสดงใช้ในชั้นศาลเป็นพระราชกฤษฎีกาเวียนคืนที่ดินปี 2465 และให้การรถไฟ กรมที่ดินมาแสดงกับคณะกรรมการ ซึ่งมีเอกสารชัด
เมื่อถามว่า เอกสารของการรถไฟเป็นรูปแบบอย่างไรที่ยืนยันแนวเขต นายไกรศรี กล่าวว่า หนังสือของการรถไฟที่ให้คณะกรรมการเป็นหนังสือตอบโต้ และแนบเอกสารแผนที่ ซึ่งเป็นแผนที่ปี 2465 เป็นต้น
นายมานะ สิมมา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ถ้ากรมที่ดินทบทวน และดำเนินการตามที่ศาลสั่งที่มีแผนที่ตามแนวเขตที่ชัดเจนตรงกัน พื้นที่อยู่ตรงกลาง หรือที่อยู่ภายในเขตของรัฐ ก็ต้องเพิกถอนโฉนด เนื่องจากการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองไปทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดิน และกรมที่ดิน ในการเพิกถอน ซึ่งถ้าอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่มา เมื่อมีการตรวจสอบชัดเจนแล้ว และมีการเพิกถอนโฉนด ก็หมดเรื่องที่จะให้ศาลปกครองวินิจฉัย เพราะถือว่าความเดือดร้อนของ รฟท.ได้รับการเยียวยา หรือได้รับการแก้ไขไปแล้ว จึงไม่มีเหตุให้ไปฟ้องศาลปกครอง เรื่องก็จบลงในชั้นการบริหาร
ทั้งนี้การที่นายภูมิธรรมตั้งคณะกรรมการชุดนี้เข้ามาตรวจสอบไม่ได้เป็นการก้าวล่วง อำนาจของศาลปกครอง แต่นายภูมิธรรม เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการทุกส่วนในกระทรวงมหาดไทย รวมถึงอธิบดีกรมที่ดินและกรมที่ดินด้วย เมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นแล้วว่า การดำเนินการของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ยังไม่ครบถ้วนดำเนินการไม่สิ้นกระแสความ ก็สั่งให้ดำเนินการแก้ไข ให้ครบถ้วน ซึ่งเป็นเรื่องการออกคำสั่งทางปกครอง เมื่อดำเนินการแล้วทุกอย่างก็จบ ส่วนในประเด็นคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่สั่งชอบหรือไม่ชอบนั้น เป็นอำนาจของศาลปกครองที่จะวินิจฉัย
เมื่อถามว่ากรณีที่มีการฟ้องต่อศาลยุติธรรม เพื่อขับไล่ผู้บุกรุก ทั้ง 995 แปลง ปัจจุบันเมื่อมีข้อเท็จจริงใหม่ กระบวนการตรงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นายมานะ กล่าวว่า กระบวนการที่ประชาชนได้มาโดยสุจริต ก็มีสิทธิ์ที่จะร้องศาล ซึ่งศาลก็จะมีขั้นตอนพิจารณา ว่าหากประชาชน ได้มาโดยสุจริต ก็จะได้รับการเยียวยา โดยหลักนิติฐานะ เพราะเมื่อศาลปกครองออกโฉนด ให้กับประชาชนไปแล้ว ถ้าดำเนินการถูกต้อง ศาลก็จะเป็นผู้วินิจฉัยเอง
เมื่อถามว่าการชดเชยของประชาชนที่สุจริต ที่ระบุว่าต้องใช้ประมาณหมื่นล้านจะนำเงินมาจากส่วนใด นายมานะกล่าวว่า ก็ต้องดูว่าหน่วยงานใดทำความเสียหาย ที่กระทำการละเมิด
เมื่อถามว่าเช่นนั้นก็ต้องไล่บี้กรมที่ดินที่ออกโฉนดให้กับประชาชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยใช่หรือไม่ นายมานะกล่าวว่า ก็มีระบบกฎหมายอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าจะได้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่เมื่อไหร่ นายภูมิธรรมตอบว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนจะเร็วหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการทั้งหมด ที่ตนนั้นดูแลเรื่องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
ส่วนงบประมาณที่จะต้องนำมาใช้ในการเยียวยานั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ต้องชัดเจนก่อนว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมายละเมิด