เมืองไทย 360 องศา
หลังจากที่ทางโฆษกกองทัพบก แถลงยอมรับว่าไทยเรายังไม่สามารถยึด “ปราสาทตาควาย”ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเขมรยังยึดตัวปราสาท ขณะที่ไทยวางกำลังอยู่ภายนอก และทางกองทัพภาคที่ 2 แถลงเพิ่มเติมว่า ได้มีการวางกำลังกันคนละด้านห่างกัน 50 เมตร เรียกว่ายังหายใจรดต้นคอกันอยู่ แต่โดยภาพรวมแล้ว ยังถือว่าทหารไทยสามารถยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์คืนมาได้มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันอีกอารมณ์หนึ่งยังสะท้อนกลับไปยังฝ่ายรัฐบาลไทยที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ถือว่า ศึกคราวนี้ “สอบตก” ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย พ่ายแพ้ตามหลังฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงยอมรับว่าตัวปราสาทตาควาย ทหารไทยยังไม่สามารถควบคุมได้100% แต่ทหารไทย สามารถควบคุมพื้นที่รอบปราสาทตาควายได้ตามเป้าหมาย และมากกว่าก่อนเกิดเหตุปะทะ ซึ่งเราควบคุมคนละด้านกันกับฝั่งกัมพูชา เนื่องจากถึงเที่ยงคืนตามเวลาหยุดยิงก่อน และทหารเขมรมีการวางทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมาก รอบปราสาท จน "หมวดบุ๊ค" ถูกระเบิดจนสูญเสียขาขวา ขณะกรุยทางเข้าไป
ทำให้ผู้บัญชาการทหารแนวหน้าต้องเลือกรักษาชีวิตทหาร เนื่องจากพบวางไว้ทั่ว ซึ่งการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
พลตรี วินธัย กล่าวว่า เมื่อถึงกำหนดเวลาหยุดยิงในภาพรวมแล้วทหารไทยเราควบคุมพื้นที่ได้มากกว่า แม้จะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในทางยุทธการ ปราสาทจะเป็นเป้าหมายในการถูกโจมตี การอยู่แต่ในตัวปราสาทจะทำให้เสียเปรียบ การยึดตัวปราสาทได้ หรือไม่ได้ ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าชนะหรือแพ้ ฝ่ายไทยอยู่ในพื้นที่ต่ำเสียเปรียบ เราพยายามเข้ายึดเนิน 350 แต่ทหารเขมรวางสนามทุ่นระเบิดใหม่ล้อมพื้นที่ไว้ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากภาพที่ปรากฏในสื่อโซเชียลล่าสุด พบระเบิดสังหารบุคคล PMN 2 เป็นพวงแสดงว่ามีจำนวนมาก
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ปฏิเสธข่าวที่ว่าไทยสูญเสียการควบคุมปราสาทตาควาย ให้แก่กัมพูชาไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันว่า ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ยังไม่มีฝ่ายใดยึดครองปราสาทดังกล่าวได้ เนื่องจากข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลอยู่ในขณะนี้ ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายควบคุมพื้นที่คนละด้านของโบราณสถาน ซึ่งฝ่ายไทยยังคงปฏิบัติตามข้อตกลง และเคารพกติกาสากลอย่างเคร่งครัด โดยไม่มีการดำเนินการทางทหารในพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรม
ด้านกองทัพภาคที่ 2 แถลงว่า เนื่องจากมีการหยุดยิงก่อน จึงยังไม่สามารถยึดพื้นที่เนิน 350 ของปราสาทตาควายได้ บริเวณตัวปราสาทยังคงมีกำลังของทั้งสองฝ่ายอยู่ในพื้นที่ ควบคุมพื้นที่คนละด้านของโบราณสถานห่างกัน 50 เมตร
แม้ว่าหลายอย่างยังดูอึมครึม และไม่ชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้เครดิตฝ่ายทหารไทยที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ในการรักษาอธิปไตยของชาติ เอาเลือดเนื้อ ชีวิตเข้าแลก ซึ่งเชื่อว่าคนไทยทุกคนย่อมต้อง “กราบคารวะ”
แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งนับตั้งแต่เกิดเหตุการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งก่อน จนกระทั่งมีการเจรจาหยุดยิง และต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ แทบจะพูดได้ว่าชาวบ้านแทบจะไม่สามารถพึ่งพารัฐบาล หรือ “เชื่อใจ” ได้เลย
ยิ่งมีรายงานว่าการ “หยุดยิง” คราวนี้ มีแรงบีบคั้นมาจากมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา ที่ข่มขู่จากปากของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่ยอมหยุดยิง ก็จะไม่เจรจาเรื่องภาษีการค้า และขณะเดียวกัน ก็ยังมีรายงานว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทางกัมพูชา มีท่าทีแข็งกร้าวกับไทย เนื่องจากทางฝ่าย “สองพ่อลูก” นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และ นาย ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อาจเอนเอียงมาทางสหรัฐฯ มากขึ้น โดยแลกเรื่องการใช้ฐานทัพ ในสีหนุวิลล์ ขณะที่จีนใช้ฐานทัพเรียม
หลังจากก่อนหน้านั้น มีภาพการลงนามกันระหว่างฝ่ายทหารของกัมพูชา กับสหรัฐอเมริกา จนทำให้มองกันว่า “เบื้องหลัง” อาการก้าวร้าวของกัมพูชาครั้งนี้ ย่อมต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่แน่นอน
เมื่อวกกลับมาที่ไทย ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานที่สหรัฐอเมริกา บีบไทยเรื่อง มาตรา 112 รวมถึงการขอใช้ฐานทัพเรือในจังหวัดพังงา เพื่อแลกกับการเจรจา “ภาษีทรัมป์” มาแล้วครั้งหนึ่ง
ดังนั้น ในท่ามกลางความขัดแย้งในภูมิภาค ที่มหาอำนาจทั้งสองฝ่ายคือ สหรัฐฯ และจีน ต่างต้องการเข้ามามีอิทธิพล มันก็เป็นเรื่องยาก ที่เราจะต้องบีบบังคับให้ต้องเลือกข้าง แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องมีรัฐบาล มีนักการเมืองที่ต้องไว้ใจได้ ไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ ที่มีแต่เรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” กรณีไทยกับกัมพูชา ก็ไม่น่าไว้วางใจ ที่มีทั้ง “สองพ่อลูกไทย” กับ “สองพ่อลูกเขมร” ชักใยอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ดี นาทีนี้หากโฟกัสไปที่สองเรื่องใหญ่ ทั้งเรื่องความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และเชื่อมโยงไปถึงการบีบคั้นเรื่องเจรจาภาษีของสหรัฐฯ นอกจากต้องพึ่งพาความสามารถของฝ่ายรัฐบาลแล้ว ยังต้องไว้วางใจได้อีกด้วย สำหรับไทยและกัมพูชานั้น นับจากนี้ถือว่า “ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงทั้งสองประเทศจะไม่สามารถยกแผ่นดินหนีออกจากกันได้ก็ตาม แต่ความรู้สึกของประชาชนนั้นจะต้องเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่ระบุว่า “ไว้ใจไม่ได้” จะต้องเกิดขึ้นอีกนาน
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาที่รัฐบาลกันบ้าง จนถึงเวลานี้ความเชื่อมั่นจากประชาชนคนไทยยังไม่ได้กลับมาเลย ตรงกันข้าม น่าจะหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะเวลานี้ความไว้ใจพุ่งไปที่กองทัพมากกว่า อีกทั้งในอีกภายในเกิน 24 ชั่วโมงข้างหน้า ที่ทางการสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศอัตราภาษีนำเข้าของไทย ว่าจะออกมาเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม จากเดิมที่เรียกเก็บ 36 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับกัมพูชา
กรณีภาษีสหรัฐ ถือว่าเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกัน เพราะต้องลุ้นกันว่า จะเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะเหมือนกับว่าเขาเอาเรื่องนี้มาบีบไทยให้ต้อง “หยุดยิง” ก็ได้แต่หวังว่า ผลจะออกมาน่าพอใจ และจะสามารถเยียวยาความรู้สึกของคนไทยได้บ้างหรือเปล่า!!