นายอธิวัฒน์ เนียมมีศรี หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และผู้ประสานงานเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อสังคม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีข่าวคลิปฉาว นายศุภศักดิ์ โภคบุตร อดีตนายกอบต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ก่อเหตุกระทำอนาจารเด็กหญิงภายในรถยนต์ ช่วงต้นเดือนก.ค.2562 ซึ่งเป็นกรณีที่มูลนิธิฯ ได้เข้าช่วยเหลือด้านคดีความโดยทนายความของมูลนิธิฯเข้าเป็นทนายโจทก์ร่วม ให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน13 ปี และเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15ปี และมารดาของเด็กทั้งสอง
นายอธิวัฒน์ กล่าวว่า คดีนี้ในชั้นต้นศาลจังหวัดพังงาได้พิพากษา ไปเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2563 ฐานความผิดพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีและอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้, กระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปีและเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็นด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กหญิงนั้นอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ระหว่าง ต้นเดือน มิ.ย. 2559ถึงวันที่ 28มิ.ย. 2562 เหตุเกิดที่ ต.ทุ่งมะพร้าว และต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกัน ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐาน พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน รวมกระทงความผิด 94 กรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา ลงโทษจำคุกจำเลย 324ปี3เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ลงโทษจำคุกจำเลย 50ปี รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้ง 2 คน คนละ1ล้านบาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายที่3เป็นเงิน 5แสนบาท รวมเงินที่ต้องชดใช้ 2.5ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ต่อมาเมื่อวันที่14 ตุลาคม 2564 ศาลจังหวัดพังงาได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ซึ่งคำพิพากษาโดยสรุปแม้จะมีการยกฟ้องในบางกระทงความผิดตามฟ้องของโจทก์ แต่โดยรวมยังคงลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี และชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
“ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายหรือรู้สำนึกในศีลธรรมอันดี สร้างความด่างพร้อยแก่ร่างกาย และจิตใจของเด็กทั้งสองไปตลอดชีวิต ทั้งที่เด็กให้ความ เคารพนับถือจำเลยเสมือนหนึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง โทษที่จำเลยได้รับในแต่ละกระทงเหมาะสมแก่ความผิดแล้ว อีกทั้งจำเลยก็ได้รับประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) แล้ว โดยเมื่อโทษจำคุกทุกกระทงความผิด รวมกันเกินกว่า 50 ปี ก็ให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี ซึ่งนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว กรณีนี้จึงไม่มีเหตุให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอย่างอื่น ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยมี มารดาป่วยติดเตียงต้องพึ่งพาจำเลยในการดูแลอาการป่วยและชีวิตความเป็นอยู่ กับจำเลยเอง ก็ป่วยร่างกายซีกขวาอ่อนแรงไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติอันเนื่องมาจากเส้นเลือด ในสมองตีบนั้น เป็นเพียงเหตุผลส่วนตัว ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟัง ฎีกาของจำเลย ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน สำหรับฎีกาของจำเลยนอกจากนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เนื่องจากไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย” นายอธิวัฒน์ กล่าว
นายอธิวัฒน์ กล่าวอีกว่า คดีนี้ใช้เวลาในการต่อสู้พิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมนานเกือบหกปี เป็นการต่อสู้ของผู้เสียหายบุคคลธรรมดาที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ กับผู้กระทำที่มีอำนาจเหนือกว่าทั้งอิทธิพล การเมืองและเศรษฐกิจ และหากไม่มีการคุ้มครองพยาน ตลอดจนการเข้าเป็นทนายโจทย์ร่วม ก็เป็นเรื่องยากลำบากที่ผู้เสียหายจะต่อสู้ได้โดยลำพัง ซึ่งความยุติธรรมที่ปรากฎในวันนี้อาจช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของเด็กทั้งสองและครอบครัวได้บ้าง และก็คงต้องติดตามในเรื่องค่าชดเชยตามคำพิพากษา รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับคืนเป็นปกติ