“สส.กล้าธรรม” จวกกลางสภา ไม่ยกเลิกคำสั่ง คสช.เกี่ยวจำนำข้าว ชี้รัฐเสียหายกว่าแสนล้าน ซัดใช้ทหารอบรมตรวจข้าว 2 วันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แฉปล่อยข้าวเน่าในค่ายทหาร จ่อยื่นดีเอสไอ-ป.ป.ช.สอบ
วันนี้ (30ก.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯ ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคำสั่งหัวหน้า คสช. บางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ... ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ
นายบัญชา เดชเจริญศิริกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม อภิปรายให้ข้อสังเกตต่อที่ประชุมหลังพบว่าในการทำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว และในบัญชีแนบท้ายร่างพ.ร.บ.ไม่ปรากฎการยกเลิกคำสั่งคสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว รวม 7 ฉบับ ทั้งที่คำสั่งดังกล่าวทำให้รัฐเสียหายจากการระบายข้าวกว่าแสนล้านบาท เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2489 ทั้งประเด็นการตรวจสอบคุณภาพที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย และการขายข้าวที่รับจำนำ ที่แบ่งเกรดของข้าวแต่ละชนิด และต้องมีการตรวจสอบผู้ประมูล ซึ่งทำให้รัฐไม่เสียหาย แต่ที่ทำให้รัฐเสียหาย หลังการปฏิวัติ โครงการรับจำนำข้าว ตนไม่ทราบว่าเป็นเหตุผลหนึ่งของการปฏิวัติหรือไม่แต่พบการด้อยค่า ทำให้ข้าว 18.9 ล้านตันนั้นมีราคาถูกลง ด้วยวิธีต่างๆ เช่น คสช. ตั้งคณะกรรมการ 100 ชุด โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เป็นหัวหน้าชุด และมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงต่างๆ 10 กระทรวง 100 สาย ให้อบรมความรู้เรื่องข้าวกับเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ทหาร โดยไม่รู้ว่าเป็นเซอร์เวย์หรือผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ อบรมคน 1,000 คน เป็นเวลา 2 วัน ซึ่งตนเชื่อว่าไม่สามารถให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวได้
นายบัญชา กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเป็นเรื่องเก็บตัวอย่าง คำสั่งคสช.ที่ออกมาใช้กรรมการออกตรวจโกดังทั่วประเทศ และเก็บตัวอย่างข้าว ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องเก็บตัวอย่างและตรวจภายใน 15 วันก่อนจะแจ้งมายังที่คลังให้รับทราบว่าถูกต้องหรือไม่
“ตามคำสั่งคสช. เอาตัวอย่างข้าวไปเก็บไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ที่ค่ายทหาร ซึ่งเป็นคำให้การของเจ้าหน้าที่ที่ให้ไว้กับศาลปกครอง ว่า เก็บไว้นานจนตัวอย่างเสีย และนั่งคิดวิธีขาย จากราคาข้าวแต่ละชนิดที่มีราคาต่างกัน กลายเป็นว่าถูกจัดมา 3 เกรด คือ เอ บี เป็นเกรดคนกินได้ และเกรดซี คือต้องขายเป็นอุตสาหกรรมพลังงาน ทำปุ๋ย อาหารสัตว์ โดยหมื่นตัวอย่างถูกนำไปรวมกัน แต่ไม่ได้แจ้งมายังคลังฐานะคนที่เก็บสินค้า แต่พบว่าไปแจ้งความว่าฉ่อโกงทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ลักทรัพย์ มูลค่า 5 แสนล้าน ซึ่งเป็นการโยนความผิดมาให้กับผู้ประกอบการคลังทั้งประเทศรับผิดชอบ” นายบัญชา อภิปราย
นายบัญชา อภิปรายต่อว่า แต่ข้าวที่นำมาขาย กลับมีทีโออาร์ขีดกั้นว่าข้าวเกรดซีจำนวน 12.9 ล้านตัน ต้องขายให้อุตสาหกรรม เพื่อผลิตเป็นเอทานอล โรงงานปุ๋ย ทำให้ข้าวในโกดังเหลือกระสอบละ 200-300 บาทจากที่แต่ละชนิดกระสอบละ 2,000-3,000 บาท ทั้งนี้ข้าวที่เสียง่ายที่สุด คือ ข้าวหอมมะลิ อยู่โกดังที่จ.สุรินทร์ ที่พบเหตุดราม่าข้าวเสีย กินได้หรือไม่นั้น สุดท้ายมีการประมูลออกไป คนที่ประมูลราคาสูงสุด 19 บาทถูกตัดสิทธิ์ เอาคนอื่นมาประมูล สุดท้ายได้ราคาประมูลที่กระสอบละ 1,800 บาท
“ข้าวที่อายุต่างกัน อายุ 10 ปี กระสอบละ 200-300บาท อายุ 2-3 ปี กระสอบละ 1,800 บาท ถือว่ารัฐเสียหายแสนล้านบาท บอกว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติทำหน้าที่หากทำหน้าที่สุจริตกฎหมายนี้คุ้มครองอยู่ แต่สิ่งที่ผมบอกว่าทุจริต หรือสุจริต ขอให้วิเคราะห์ดูว่า ข้าวอายุ 10 ปี ขายได้ 18 บาทกว่า กับข้าวปีถึงสองปี เป็นข้าวเสียทั้งหมด ผู้ประมูลเป็นเกรดซี มี 19 ราย แต่เกรดเอ หรือเกรดบี คนประมูลมีเป็นร้อย แบบนี้รัฐเสียหายใช่หรือไม่” นายบัญชากล่าว
นายบัญชา กล่าวต่อว่า สำหรับผู้เสียหายมากที่สุดคือ ผู้ประกอบการคลัง เนื่องจากไม่ได้ค่าเช่า 11 ปีที่ต้องโดนคดีอาญา แต่คดีอาญานั้นพิจารณาแล้วไม่มีความผิดตามกล่าวหา แต่ยังมีคดีในศาลปกครองกลางทั่วประเทศ แต่มีหลายคดีที่ตัดสินว่าให้ผู้ประกอบการคลังชนะและให้ องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) จ่ายค่าเช่าคลังคืน เรื่องนี้เสียหายประเทศจำนวนมาก แต่ไม่มีใครรู้ ซึ่งผู้ประกอบการคลังร้องเรียนตนมานาน ขณะนี้ได้ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมยื่นป.ป.ช.ต่อไป