ศบ.ทก.เผยคืนที่ผ่านมากัมพูชายังคุกคามไทย 4 พื้นที่ แต่ไทยอดทนอดกลั้นยึดแนวทางสันติภาพ หวังกัมพูชาเดินตามกรอบความตกลง-เกิดสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศ รอหนังสือเชิญประชุม GBC 4 ส.ค.นี้ สั่งห้าม 14 พื้นที่บินโดรนโดยเด็ดขาด ขอสื่อช่วยกันรีเช็คข้อมูลก่อนเผยแพร่ ขณะ กต.ทำงานเชิงรุก รายงานกงสุลทั่วโลก เน้นสื่อสารข้อเท็จจริง
วันนี้(30 ก.ค.) พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก.แถลงว่า สืบเนื่องจากที่เรามีการพูดคุยเจรจาหยุดยิงกันทั้งสองฝ่าย ตั้งแต่คืนวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องจนถึง 30 กรกฎาคม 2568 ยังปรากฏการคุกคามของกองกำลังประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 เหตุการณ์ ตามที่โฆษกกองทัพบกได้ชี้แจงในช่วงแถลงการณ์ของกองบัญชาการกองทัพบกไปแล้ว
ส่วนอีกเรื่องที่อยากจะชี้แจง ทาง ศบ.ทก.อยากเน้นย้ำไทยยังคงยึดมั่นในเรื่องความอดทน อดกลั้น เชื่อมั่นการดำเนินการ ด้านสันติภาพและดำเนินตามหลักมนุษยธรรมแต่หากถูกละเมิดต่ออธิปไตย ของไทย เราเองมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ถือเป็นจุดยืนที่เราได้แสดงมาตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ ขอชื่นชมไปยังผู้กล้า ขอสดุดีวีรชนทั้งหลายที่อยู่ในแนวหน้าตั้งแต่วันแรกของการปะทะโดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเหนือจากเหล่าทหารหาญแล้วยังมีทหารพราน ตำรวจตระเวนชายแดนและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอื่นๆที่มีส่วนร่วมเป็นผู้ที่ทำให้การปฏิบัติของเราประสบความสำเร็จนอกเหนือจากนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข คุณหมอ พยาบาล อสม.และอาสาต่างๆที่ช่วยดูแลกองทัพและประชาชนโดยความไม่เหน็ดเหนื่อย ต้องขอขอบคุณและสดุดีผู้กล้าทั้งหลายในส่วนตรงนี้ นอกเหนือจากภาครัฐแล้วยังมีภาคเอกชนที่ส่งกำลังใจและส่งสิ่งของอุปกรณ์ต่างๆมาให้ทางทหาร และหน่วยงานเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง บุญคุณของท่านคงไม่ลืมและไม่สามารถพัฒนาได้ในเรื่องของน้ำใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพี่น้องประชาชนชาวไทยในครั้งนี้
สำหรับในส่วนที่เกี่ยวข้องการหารือระหว่างฝ่ายไทยกับกัมพูชาที่ได้ตกลงกันไว้ เป็นไทม์ไลน์แผนงานคือในวันที่ 4 สิงหาคมที่จะถึงนี้ มีกำหนดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ จีบีซี ซึ่งขณะนี้ไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประชุม ตอนนี้รอฝ่ายกัมพูชาส่งหนังสือเชิญเข้าประชุมตามที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมในเรื่องรายละเอียดและเนื้อหาที่จะเข้าไปร่วมเจรจา ทั้งนี้ในส่วนที่มีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ในระดับของแม่ทัพภาค ได้ข้อตกลงในภาพรวมเรื่องแนวทางการหารือและการปฏิบัติร่วมระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ทั้งสองฝ่ายแล้ว หวังว่าภาพนี้ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่สันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศเราทั้งสอง
สำหรับจำนวนผู้อพยพ มีทั้งหมดจำนวน 190,104 รายอยู่ในศูนย์พักพิง 780 แห่ง ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดโดยรัฐบาลจะแจ้งทันทีเมื่อมีความปลอดภัย โดยประชาชนที่อยู่ในศูนย์พักพิงจะเดินทางกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อภาครัฐยืนยันความปลอดภัย ช่วงนี้เน้นย้ำอยากให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่ที่รัฐบาลจัดสรรไว้ให้ก่อน เพราะยังต้องดูสถานการณ์กันต่อไป
ส่วนเรื่องการห้ามบินโดรนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ CAAT ออกประกาศห้ามบินโดรนใน 14 พื้นที่ ที่อาจกระทบความมั่นคงของประเทศ ในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา โดยห้ามไม่ให้ผู้ใด บังคับหรือปล่อยอากาศยาน ซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยาน ที่ควบคุมการบินจากภายนอก เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด พื้นที่หวงห้ามเฉพาะ และพื้นที่อันตราย โดยมีผลบังคับใช้ทันที เพื่อป้องกันการใช้โดรนในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ความไม่ปลอดภัย หรือกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในพื้นที่สำคัญ ประกอบด้วยด้วย จ.สระแก้ว จ.ตราด จ.จันทบุรี จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ จ.อุบลราชธานีจ.ปราจีนบุรี จ.นครราชสีมา จ.นครสวรรค์ จ.เพชรบูรณ์จ.ชัยนาท จ.พิจิตรและจ.ลพบุรี
นอกจากนี้ยังห้ามบินโดรนทุกประเภทในรัศมี 9 กิโลเมตรหรือ 5 ไมล์ทะเลจากสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวทุกแห่งโดยเด็ดขาด ตรงนี้ต้องขอเน้นย้ำผู้ใดฝ่าฝืนจะมีระหว่างโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับอันนี้ถือเป็นประกาศของทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ให้ประชาชนทราบทั่วหน้า
สุดท้ายในส่วนความมั่นคงเรื่องข่าวลือข่าวลือในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ซึ่งทาง ศบ.ทก.ขอบคุณสื่อมวลชนและสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่ได้สอบถามเข้ามายังช่องทางสื่อสารขอ ศบ.ทก.อย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำไปเผยแพร่สู่สาธารณชน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญในเรื่องการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงและขอย้ำว่าให้ตรวจสอบทางช่องทางที่เป็นทางการของทั้ง ศบ.ทก.เหล่าทัพและช่องทางที่ ศบ.ทก.ได้อนุมัติแล้ว ซึ่งได้มีทีมช่วยตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง หากสื่อมวลชนสนใจที่จะเข้าร่วมสามารถประสานเจ้าหน้าที่ทางศบ.ทก.เพื่อเชิญเข้าอยู่ในกลุ่มไปร่วมกันแฟลชเช็คหาข้อเท็จจริง รายงานสถานการณ์จริงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนต่อไป
ด้ายนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ในประเด็นด้านการต่างประเทศที่มีการหารือกันมี 2 เรื่องที่อยากจะเรียนให้ทุกท่านทราบโดยเรื่องแรก การดำเนินการต่อการละเมิดข้อหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา ทางฝ่ายไทยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงประเทศผู้สังเกตการณ์จีนและสหรัฐเข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ทั้งนี้เพื่อแจ้งการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้มีหนังสืออีกฉบับถึงฝ่ายกัมพูชาโดยตรงด้วย
สำหรับกรณีการละเมิดล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ภูมะเขือก็เช่นกัน ตามที่ทางกองทัพบกได้ชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วทางกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมเรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทุกรูปแบบโดยทันทีและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างครบถ้วนและเคร่งครัดและในส่วนข้อมูลที่ผู้แทนสาธารณสุข
ซึ่งได้ชี้แจงมาเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันทางกระทรวงการต่างประเทศจะส่งข้อมูลเพิ่มเติมไปจากที่ได้ส่งหนังสือประท้วงไปที่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีกโดยเฉพาะหลังจากที่เรา 2 ประเทศได้ตกลงกันแล้วว่าจะหยุดยิงซึ่งขณะนี้มีทหารไทยเสียชีวิตไปอีก 1 นาย
สำหรับบทบาทสถานทูตและสถานกงสุลของไทยทั่วโลกต่อการชี้แจงสถานการณ์ภัยกัมพูชา วันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานที่ประชุมให้ทราบบทบาทเชิงรุกของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลก ซึ่งขณะนี้สถานการณ์หลายแห่งได้ร่วมแรงช่วยกันชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาในพื้นที่ที่รับผิดชอบทั้งประเทศเจ้าบ้านและประเทศที่อยู่ในเขต ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละสถานทูตกงสูลใหญ่ได้แจ้งข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์ ท่าทีของไทยและหลักการที่ไทยยึดถือ ให้รัฐบาลและองค์การต่างๆรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและที่สำคัญสื่อมวลชนท้องถิ่น และชุมชนไทยในสถานที่ต่างๆ รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องไม่บิดเบือน ซึ่งเป็นจุดยืนของไทยที่ต้องการยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี หันกลับมาสู่การเจรจาบนพื้นฐานความจริงใจและสุจริตใจ
นอกจากบทบาทของสถานทูตกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกแล้วเรายังมีคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ 4 สำนักงานคณะผู้แทนถาวรประจำอาเซียนและสถานทูตอีกหลายแห่งที่มีหน้าที่ในกรอบข้อมูลผ่านเกณฑ์และองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งต่างกำลังชี้แจงจุดยืนของไทยในเวทีโลกและกรอบสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภายใต้อนุสัญญาต่างๆเพื่อรักษาท่าทีย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์และแสดงความยึดมั่นต่อพันธะกรณีระหว่างประเทศของไทย