xs
xsm
sm
md
lg

สส.กระบี่ทำหนังสือถึงนายกฯ จี้ยกเลิก MOU43 และ MOU44 เหตุขัด รธน.-ทำไทยเสียเปรียบกัมพูชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง” ทำหนังสือถึงนายกฯ เรียกร้องยกเลิก MOU43 และ MOU44 ที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีเนื้อหาที่ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา ในแง่ยอมรับพื้นที่ทับซ้อนอย่างถาวร เปิดทางให้ต่างชาติแสวงหาผลประโยชน์ร่วมในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ เสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตย

นายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย จังหวัดกระบี่ ทำหนังสือลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งดําเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และฉบับที่ 44 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา

หนังสือดังกล่าว มีใจความว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเป็นที่ปรากฏว่าบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 (ว่าด้วยแนวเขตทางบก) และฉบับที่ 44 (ว่าด้วยเขตทางทะเล) ซึ่งประเทศไทยได้ทําร่วมกับประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับเขตแดน พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และทรัพยากรธรรมชาติรวมไปถึงการอนุญาตให้มีการสํารวจและแสวงหาประโยชน์ในพื้นที่เขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างสองประเทศ ซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้กลายเป็นข้อถกเถียงทางสังคมและการเมืองในประเทศไทยมาโดยตลอดเนื่องจากส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีข้อสังเกตสําคัญว่าบันทึกความเข้าใจบางฉบับไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ควรนําเข้าสู่กระบวนการรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากทางหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 178 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า สนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่ออธิปไตยของรัฐ การเปลี่ยนแปลงเขตแดน หรือมีผลผูกพันด้านงบประมาณของรัฐ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนการลงนาม ดังนั้น การดําเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดพื้นที่ทับซ้อน หรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตกลงกันอย่างชัดเจน ย่อมเข้าข่ายที่จะต้องผ่านการพิจารณา ของรัฐสภาเช่นกัน หากมีการดําเนินการหรือการกระทําตามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และฉบับที่ 44 ที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา อาจถือได้ว่าการกระทําดังกล่าวไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการคงไว้ซึ่งบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และฉบับที่ 44 ที่อาจก่อให้เกิดการตีความในทางที่เสียเปรียบแก่ประเทศไทย ทั้งในแง่ของการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนอย่างถาวร หรือการเปิดทางให้ต่างชาติแสวงหาผลประโยชน์ร่วมในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานและทรัพยากรที่สําคัญ ดังนั้น การคงไว้ซึ่งข้อตกลงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจนําไปสู่การสูญเสียโอกาสในการปกป้องอธิปไตยและการใช้ทรัพยากรของตนอย่างเต็มรูปแบบในระยะยาว ดังนี้

1. การยอมรับพื้นที่ทับซ้อนโดยพฤตินัย โดยวิธีการลงนามในบันทึกความเข้าใจที่มีสาระว่า ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามี “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล” อาจส่งผลให้ประเทศไทยยอมรับว่ามีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน ทั้งที่ในบางมุมมองทางกฎหมายไทยถือว่าพื้นที่นั้นอยู่ในอธิปไตยของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ การยอมรับเช่นนี้อาจเป็นข้อเสียเปรียบในอนาคตเมื่อมีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์หรือจัดทําเขตแดนถาวร

2. การดําเนินการตามบันทึกความเข้าใจอาจส่งผลเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ร่วมโดยไม่กําหนดสัดส่วนชัดเจน การอนุญาตให้มีการร่วมสํารวจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนโดยที่ยังไม่มีการกําหนดสัดส่วนหรือข้อตกลงที่เป็นธรรม อาจทําให้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะได้ โดยเฉพาะกรณีการให้สัมปทานสํารวจพลังงานในเขตทับซ้อน

3. กระทบต่อความมั่นคงและอธิปไตยในทะเล บันทึกความเข้าใจอาจกลายเป็นช่องทางที่อีกฝ่ายใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนข้อเรียกร้องต่อองค์กรระหว่างประเทศในอนาคต เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนทะเล ทําให้ประเทศไทยเสียเปรียบด้านเอกสารและข้อเท็จจริง

4. ไม่มีการเผยแพร่ต่อประชาชนและไม่มีการตรวจสอบการทําข้อตกลงในลักษณะบันทึกความเข้าใจที่ไม่เปิดเผยและไม่ผ่านกลไกรัฐสภา อาจขาดความโปร่งใสและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศ

นอกจากนี้ การขาดความโปร่งใสในการจัดทําและเปิดเผยบันทึกความเข้าใจต่อสาธารณะ ยังทําให้ประชาชนขาดความมั่นใจในเจตนารมณ์ของรัฐ และส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งยังเปิดช่องให้เกิดข้อสงสัยในเชิงนโยบายด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ทางทะเลในภูมิภาคนี้อย่างกว้างขวาง หากมีการยกเลิกข้อตกลง ทั้งสองฉบับอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของประเทศไทย ในการปกป้องอธิปไตย การยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ และความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ อนึ่ง การยกเลิก บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 44 เดิมเป็นข้อตกลงร่วมเกี่ยวกับ เขตทับซ้อนทางทะเล ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา จัดทําขึ้นในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งเคยถูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยให้เหตุผลว่า “ประเทศไทยไม่สามารถดําเนินการตามข้อตกลงได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติและไม่ผ่านรัฐสภา” อย่างไรก็ตาม ยังมี ความคลุมเครือในทางปฏิบัติว่าการยกเลิกดังกล่าวมีผลสิ้นสุดในทางกฎหมายจริงหรือไม่ หรือมีการฟื้นกลับมาใช้ใหม่ภายหลังในบางส่วนโดยไม่ได้ประกาศเป็นทางการ

ในการนี้ ข้าพเจ้าขอเรียนเสนอให้ท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี พิจารณาดําเนินการให้มีการยกเลิก บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับที่ 43 และฉบับที่ 44 ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้งสองฉบับ พร้อมกันนี้ ควรมีการชะลอหรือระงับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อนและการใช้ประโยชน์ร่วมในพื้นที่นั้น จนกว่าจะได้ข้อยุติที่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้านจากทั้งฝ่ายบริหาร รัฐสภา และประชาชน เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศชาติ และรักษาอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทยให้มั่นคงถาวรตลอดไป






กำลังโหลดความคิดเห็น