วันนี้(22 ก.ค.) ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม น.ส. ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลุกหารือถึงวิกฤตศรัทธาในวงการสงฆ์ ความสั่นคลอนที่อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ว่า ตนรู้สึกถึงหัวใจที่หนักแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็หนักอึ้ง ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อศรัทธาของประชาชน ซึ่งกำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ในวงการพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เราทุกคนก็คงได้เห็นข่าวที่สะเทือนใจในระดับที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป ในกรณีของ สีกา ซึ่งเกี่ยวพันกับพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่หลายรูป จนต้องมีการสึกพระ รวมไปถึงจับกุมและสืบสวนขยายผลถึงขบวนการที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายฟอกเงิน โดยใช้วัดและพระเป็นเครื่องมือ
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เพียงแค่สะเทือนแวดวงคณะสงฆ์เท่านั้น แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อศรัทธาของประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศ มีคำถามจากคนรุ่นใหม่มากมายว่าเราจะเชื่อถือใครได้อีก วัดยังเป็นสถานที่แห่งธรรมอยู่หรือไม่ และอีกหนึ่งเรื่องที่น่าตกใจล่าสุด ที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่ง ต้องยกเลิกพิธีเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา เพราะเจ้าอาวาสหายตัวไปกระทันหัน และต่อมาก็พบว่ามีชื่อพัวพันกับสีกาชื่อดังคนดังกล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่เคยหมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ยังใส่บาตรแทบทุกเช้าก่อนจะมาสภา และยังยึดมั่นในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมอมา การอภิปรายในวันนี้ จึงไม่ใช่เพื่อโจมตีพระ หรือดูหมิ่นศาสนา แต่เพราะตนเห็นว่า หากเราไม่ร่วมกันรักษาศรัทธานี้ไว้ให้มั่นคง วิกฤตทางศีลธรรมจะกลายเป็นวิกฤตสังคมที่ยากจะแก้ไข เรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก ตนยังจำได้ดีว่า ย้อนไปเมื่อปี 2567 ก็เคยมีข่าวดัง กรณีสีกานอนกับพระที่ภาคเหนือ สุดท้ายเงียบหายไป ผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็ยังมีรูปแบบพฤติกรรมเช่นเดิม เพียงแค่เปลี่ยนคน เปลี่ยนพื้นที่ และอาจรุนแรงขึ้น สะท้อนว่าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“เมื่อศาสนาอ่อนแรง บทบาทของพระสงฆ์ลดลง ความเกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษจางหาย ปัญหาอาชญากรรมก็จะเพิ่มสูงขึ้น และสังคมก็จะอ่อนแอลงอย่างไม่มีหลักยึด พระที่ดียังมีอีกมากมาย ต้องได้รับผลกระทบจากพระไม่กี่รูปที่กระทำผิด นี่คือความอยุติธรรมที่เกิดกับพระดี” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ระบุว่า ตนขอตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าเราจะปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปอีกนานเพียงใด ตนอยากเห็นแผนงานเร่งด่วนที่เป็นรูปธรรมเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา อยากเห็นการปฏิรูปการตรวจสอบทรัพย์สินและบัญชีของวัดที่โปร่งใส อยากเห็นกลไกที่เอื้อให้พระแท้ พระดี ได้มีพื้นที่
“ดิฉันยังเชื่อว่าศาสนาเป็นรากแก้วของสังคมไทย และหากปล่อยให้รากนี้ผุพังจากภัยภายในที่เรามองข้าม เราก็อาจไม่มีวันฟื้นกลับมาได้อีกเลย ขอฝากข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอให้วุฒิสภาแห่งนี้ กล้าหาญพอที่จะทำหน้าที่เป็นกระจกส่องสังคม สะท้อนสิ่งที่ผิด และผลักดันสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้พระพุทธศาสนาอยู่คู่สังคมไทยอย่างบริสุทธิ์และมั่นคงตลอดไป” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว