ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ทักษิณ” ร่วมวงดินเนอร์พรรคร่วมฯ ในฐานะเสมียนประเทศ !?
วันนี้ (22 ก.ค.68) พรรคร่วมรัฐบาล มีนัดกินข้าวมือเย็นร่วมกัน ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยพรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ
ปกติพรรคการเมืองจะไม่ค่อยมีการนัดกินข้าว แต่ถ้านัดเมื่อไร นั่นหมายถึงว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกัน
หากดู สภาพแวดล้อม สถานการณ์ทางการเมืองในตอนนี้ มีหลายเรื่องที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ไม่รู้ออกหัว ออกก้อย
ทั้งเรื่อง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ และสุดท้ายอาจจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งก็ได้... เรื่องของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในคดี112 ที่ศาลจะตัดสินในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ส่วนคดี “ป่วยทิพย์” ชั้น 14 ก็งวดเข้ามาเต็มที เพราะศาลเรียกทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และ ฝ่ายแพทย์ รพ.ตำรวจ ที่ทำการรักษา ไปให้ปากคำกันหมดแล้ว
ยังมีคดี พรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ที่ปล่อยให้ “ทักษิณ” ชี้นำ ครอบงำ ในวันที่ “เศรษฐา ทวีสิน” ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วันนั้นแกนนำพรรคร่วมไปรวมตัวที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ตามคำสั่งของ “ทักษิณ” ซึ่งเรื่องนี้ คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต. ได้สรุปความผิดออกมาแล้ว ซึ่งปลายทางคือการยุบพรรค หรือไม่
เช่นเดียวกับเรื่อง “ฮั้วเลือก สว.” คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 ซึ่งเป็นคณะทำงานร่วมระหว่าง กกต. กับ ดีเอสไอ ได้มีมติเสนอ กกต.ให้ดำเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหา 229 ราย เป็น สว.138 คน กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยและเครือข่ายอีก 91 คน ซึ่งเรื่องนี้ สว. อาจต้องพ้นจากตำแหน่ง ผู้เกี่ยวข้องโดนคดีอาญา ลามไปถึงยุบพรรคภูมิใจไทย
ยังมีคดีที่รัฐบาล โยกงบฯ ไปแจกคนละ 1 หมื่นบาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเข้าข่ายผิด มาตรา 144 นี่โละรัฐมนตรีกันทั้ง ครม. ทั้ง สส. และ สว. ที่ร่วมให้ความเห็นชอบ หากศาลชี้ผิดออกมาก็เหมือนฝนตกห่าใหญ่
เรื่องหนึ่งเรื่องใด ในบรรดาเหล่านี้ อาจนำไปสู่วิกฤตการเมือง สู่“ทางตัน” ได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้ รัฐบาลปัจจุบัน ก็อยู่ในสภาพปริ่มน้ำ หลังจากพรรคภูมิใจไทย แยกตัวออกไปเป็นฝ่ายค้าน
อาจมองกันได้ว่า การนัดกินข้าวของพรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้ เพื่อสานสัมพันธ์ ผนึกกำลังกัน ในการผ่านกฎหมาย ไม่ให้สภาล่มซ้ำซาก จนทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย
แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้น เรียกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็คือ ถ้า “แพทองธาร” ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องหานายกรัฐมนตรีกันใหม่
จะทำอย่างไร ให้พรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน ไม่ปันใจ แหกคอกไปหนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” แคนดิเดตนายกฯของพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม
เรื่องแบบนี้ ลำพัง ละอ่อนอย่าง “แพทองธาร” เอาไม่อยู่หรอก แค่สบตายังไม่รู้จะกล้าหรือเปล่า เพราะบรรดาหัวหน้า แกนนำพรรคร่วมตอนนี้ “เขี้ยวลาก” กันทั้งนั้น
จึงมีคำถามว่า ในวงกินข้าววันนี้ “ทักษิณ” จะมาหรือไม่
ถาม“แพทองธาร” ในฐานะเจ้าภาพ ก็ไม่ได้รับคำตอบ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองหัวหน้าพรรค ก็บอกให้ไปถาม “ทักษิณ”เอง
ก็มีแต่ “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล ที่เจอไมค์แล้วตอบได้ทุกเรื่อง เป็นคนบอกว่า...ทราบว่าท่านจะไป เพราะตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา 2 ปี สส.พรรคร่วมรัฐบาล ไปกินข้าวกันแค่ครั้งเดียว และครั้งนี้มีการปรับบางพรรคออกไป ที่เหลือจึงต้องมานั่งปรึกษาหารือ ทำความเข้าใจกันเพื่อให้เกิดความแน่นแฟ้น เกิดความสามัคคีในการประชุมสภา
ส่วนปัญหาที่ว่า ถ้า“ทักษิณ”ไป แล้วจะถูกมองว่า เป็นการครอบงำ ไปสั่งการหรือไม่นั้น “วิสุทธิ์” บอกว่า แค่ไปกินข้าวกัน ไปพูดคุยกัน ไม่ถือเป็นการครอบงำ เพราะการครอบงำ หมายถึง การสั่งการ สั่งให้พรรคนั้น พรรคนี้ ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่หากไปให้ความรู้ ไปแชร์ประสบการณ์การทำงาน ก็ไม่ถือว่าครอบงำ
-
“วิสุทธิ์” ยังบอกว่า วันนี้คนไทยติดการจับผิด ติดการร้องเรียน ทำให้องค์กรอิสระเหนื่อย เพราะนักร้องเยอะแยะไปหมด
ส่วน “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “ทักษิณ” มีสิทธิ์เดินทางไปไหนตอนไหน ในประเทศไทย ถือเป็นสิทธิ์ของท่าน ถ้าไม่ใช่เป็นที่หวงห้าม ก็ไปได้ทุกที่
ขณะที่ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ที่ในโซเชียลฯ แซวกันว่า “เป็นไอติมที่เหลือแต่ไม้” บอกว่า เป็นงานกินข้าวร่วมกัน ครั้งแรกของพรรคร่วมรัฐบาล หลังจากมีพรรคบางพรรคถอนตัวออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยหรือเปล่า
ส่วน “ทักษิณ” จะไปร่วม หรือไม่ไป ทุกคนก็รับรู้อยู่กันแล้วว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ จนถึงทุกวันนี้ “ทักษิณ” มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการให้คำแนะนำ กำหนดทิศทางนโยบาย มาตลอด การไปกินข้าวด้วย ก็เป็นที่ชัดเจนว่า ผลงานของรัฐบาลชุดนี้ ควบคุมอยู่กับข้อแนะนำ และทิศทางของทักษิณ ดังนั้น หากรัฐบาลถูกมองว่าล้มเหลว แก้ปัญหา เรื่องเศรษฐกิจปากท้องไม่ได้ แก้ปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้ ก็แสดงว่า แนวคิดของ ทักษิณ ก็ล้มเหลว
ยิ่งตอนเดินสายไปพูดบนเวทีสาธารณะ ก็มีแต่เรื่องย้อนอดีต ไม่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้
ส่วนเรื่องนี้ จะนำไปสู่การร้องเรียน เรื่องครอบงำพรรคหรือไม่ ก็ต้องรอดูว่าใครจะไปยื่นเรื่อง แต่ในเชิงความรับผิดรับชอบทางการเมือง ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า “ทักษิณ” มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของรัฐบาลนี้
เรื่อง “ทักษิณ” จะไปร่วมวงดินเนอร์ หรือไม่ หากย้อนไปฟังสิ่งที่เขาพูด ในการปาฐกถาพิเศษ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่เขาบอกว่า ตอนนี้เขารับบทเป็น “เสมียนประเทศ” คอยเก็บปัญหาจากประชาชน แล้วส่งต่อให้รัฐบาล
ดังนั้น คงไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่า “ทักษิณ” จะไปร่วมวงหรือไม่
ส่วนเรื่องของความเสี่ยง ที่จะถูกร้องเรียนเรื่องครอบงำพรรคนั้น เขาเลิกกังวล เลิกให้ความสำคัญ อยากร้องก็ร้องไป
เพราะ “เพื่อรักษาอำนาจ” ทักษิณ เปรียบเป็นหมูตาย ที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปแล้ว!
++ จะยื่นศาลกี่โมง!? “สมชัย” ฟาด กกต.ยับ ดึงคดี "ศาสตราจารย์เก๊" หมอเกศ
เป็นเรื่องน่าสนใจ เมื่อ"สมชัย ศรีสุทธิยากร "อดีต กกต. ตัวจี๊ด ออกมาซัดตรงใส่ กกต.ชุดปัจจุบัน แบบไม่ไว้หน้า!
“คดีหมอเกศ” ที่ กกต. ชี้มูลความผิดเสร็จไปตั้งแต่เมษายน แต่กลับไม่ยอมยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เสียที จนตอนนี้ปาเข้าไป 3 เดือนแล้วก็ยังมะหงุมมะหงาหรา เหมือนจงใจถ่วงเวลา !?
ที่ไปที่มาก็เริ่มจาก กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา ในความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา กรณีใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” ลงสมัครส.ว. เข้าข่ายหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคุณสมบัติ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี และตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี โดยต้องยื่นศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งต่อไป
“สมชัย” โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ระบุชัดเรื่องนี้ เนื่องจากหมอเกศ “โดนสอย” ด้วยการให้ “ใบแดง” หลังการประกาศผล ต้องยื่นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไป
ทว่า ระยะเวลากว่าที่ กกต. จะจัดทำเอกสารคำวินิจฉัยหลังจากการมีมติ ใช้เวลาเกือบ 3 เดือน ซึ่งถือว่าล่าช้ามาก และ ถึงวันนี้ยังไม่ได้ส่งถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลจะต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนจะมีคำวินิจฉัยว่าเห็นชอบกับ กกต. หรือไม่
เรียกว่า กกต.ทำงาน "อืด" ยิ่งกว่าเรือเกลือ ทั้งที่เป็นบุคคลที่สื่อเกาะติดและสังคมติดตาม
ความล่าช้าดังกล่าว สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพการทำงานของ กกต. ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการทางนิติบัญญัติ เนื่องจากตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำวินิจฉัย สว.ดังกล่าว ก็ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในวุฒิสภาได้ตามกฎหมาย
ความล่าช้า ยังส่งผลเสียต่อตัวสว. ที่ถูกวินิจฉัยด้วย คือ วันใดข้างหน้าที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่า สว. ดังกล่าวมีความผิด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทุกอย่าง เช่น เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเดือนผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วย สว. ทุกคน และค่าใช้จ่ายทุกอย่าง นับแต่วันแรกของการเป็น สว. ต่อทางราชการ
ส่วนการดำเนินคดีอาญานั้น เป็นไปตามกฎหมาย ที่ กกต.ต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญา หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผิด ซึ่งอัยการอาจฟ้องหรือไม่ฟ้อง ก็ได้ ยังเป็นเรื่องในอนาคต
สรุปว่า คดี "หมอเกศ" ใช้คำนำหน้า "ศาสตราจารย์” ลงสมัคร สว. เข้าข่ายหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคุณสมบัตินี้ มีผู้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบ กกต.มีมติสั่งรับเป็นสำนวน เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567 จากนั้นสำนักงานฯ ได้ดำเนินการสืบสวนไต่สวนและนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมกกต. ครั้งแรก เมื่อ 31ตุลาคม 2567 ก่อนที่จะมีมติเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นับจากวันที่ กกต.รับเป็นสำนวน ถึงวันนี้ก็ครบ 1ปีไปแล้ว คงต้องถามกกต.ว่า จะยื่นศาลได้กี่โมง!