“ศุภชัย” ออกโรง อัด “มท.อ้วน” ตั้งธงจัดการเขากระโดง ไม่ศึกษาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ไม่ฟังขั้นตอนศาล ระวังเจอ ม.157 เชื่อ หากกระทบสิทธิของประชาชน รัฐต้องชดเชย
วันนี้ (17 ก.ค.) นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคภูมิใจไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง การสั่งราชการของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในการดำเนินการเรื่องที่ดินเขากระโดง มีเนื้อหาว่า “เรื่องที่ดินเขากระโดงเป็นมหากาพย์ที่ยืดเยื้อยาวนาน ความจริงซึ่งมีหนึ่งเดียวถูกบิดเบือนปลุกปั่นสื่อสารออกมาจนผิดเพี้ยนจากความจริงที่ว่านั้น ประชาชนผู้เสพข่าวก็อาจหลงเชื่อและคล้อยตามข้อมูลนั้น โดยหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง”
นายศุภชัย ระบุว่า มท.1 รองนายกฯ รักษาการนายกรัฐมนตรี เข้ากระทรวงวันแรกก็สำแดงอำนาจ สั่งอธิบดีกรมที่ดินให้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ทำไมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนท่านตั้งธงไว้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าท่านไม่ศึกษาข้อเท็จจริงข้อกฎหมายเลย ว่าเรื่องนี้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อให้ยิ่งใหญ่อ้วนพีขนาดไหนก็เข้าไปยุ่งเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ เพราะพลาดท่าจะโดน ม.157 เอาได้
“ความจริงแท้แน่นอนที่ท่าน มท.1 ควรจะต้องรู้ก็คือประชาชนผู้ครอบครองที่ดินที่ได้ที่ดินมาโดยสุจริตตามกฎหมายกว่า 1,000 รายเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเรื่องนี้ และนอกจากบ้านเรือนประชาชนแล้ว บนที่ดิน 5,083 ไร่นี้ยังมีสถานศึกษา สถานที่ราชการ สถานประกอบการตั้งอยู่มากมาย”
“รัฐโดยท่าน มท.1 จึงมีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ และได้ข้อยุติ โดยเร็วที่สุด และไม่อาจใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยไม่มีกฎหมายรองรับอย่างที่ท่านอยากจะทำ”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เคยมีกรณีที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 กรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง เคยกล่าวหาอย่างเปิดเผยในช่วงเลือกตั้งปี 2566 ว่า ครอบครัวชิดชอบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ ทุจริตโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการฮุบที่ดินเขากระโดงกว่า 5,000 ไร่ ของการรถไฟฯ เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว
ทั้งที่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พื้นที่ที่มีปัญหายืดเยื้อมานานกว่า 5,000 ไร่นั้น ตระกูลชิดชอบถือเพียงหลักร้อยไร่ ที่เหลือเป็นของชาวบ้านทั่วไป
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาของชูวิทย์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน และสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชื่อเสียงของโจทก์ทั้งสอง จึงพิพากษาจำคุก 12 เดือน รับสารภาพลดเหลือ 6 เดือน และเปลี่ยนเป็นโทษปรับ 200,000 บาท เนื่องจากจำเลยอายุมากและมีโรคประจำตัว พร้อมสั่งให้ลงโฆษณาขอโทษในสื่อสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง 7 วัน และให้คำมั่นต่อศาลว่าจะไม่กล่าวหาครอบครัวชิดชอบอีก
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่ กรมที่ดิน กับ การรถไฟฯ ต้องไปหาข้อยุติที่เป็นไปตามกฎหมาย และเมื่อศาลปกครองวินิจฉัยและตัดสินเป็นที่ยุติแล้ว เชื่อว่า ประชาชนผู้รับผลกระทบจากกรณีนี้พร้อมรับคำตัดสินของศาล ถ้าศาลตัดสินว่ากรมที่ดินออกโฉนดให้ประชาชน ไม่ถูกต้อง ต้องถูกเพิกถอน เชื่อว่า ประชาชนพร้อมรับคำตัดสินของศาล แต่ขณะเดียวกัน ประชาชนผู้ครอบครองโดยสุจริต ก็ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินการตามกฎหมายเช่นกัน กฎหมายกำหนดไว้ชัด กรณีที่กรมที่ดินต้องดำเนินการตามกฎหมาย ตามคำสั่งศาล ซึ่งมีขั้นตอนอยู่แล้ว หากกระทบสิทธิของประชาชน สุดท้าย รัฐต้องชดเชยให้กับผู้ครอบครองที่ดินโดยสุจริต มีเอกสารสิทธิ ที่ออกโดยกรมที่ดินทุกราย
