“นครินทร์” ยัน ศาล รธน.ไม่ใช่ศาลการเมือง แต่รับคดีหลายทางรวมถึงคดีการเมือง ปฏิเสธเป็น “นิติสงคราม” เหตุมีอำนาจตามกฎหมายกำหนด ชี้ จะปฏิรูปต้องขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญ เพราะปฏิรูปเองไม่ได้
วันนี้ (14 ก.ค.) นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงผลการปฏิบัติงานของศาลรัฐธรรมนูญตลอดปีที่ผ่านมา ว่า จะเรียกว่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมืองก็ไม่ถูก เราเป็นศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับคดีรัฐธรรมนูญเท่านั้น อยากให้ผู้สื่อข่าวและประชาชนทำความเข้าใจว่า คดีรัฐธรรมนูญคือเรื่องข้อพิพาท ทะเลาะเบาะแว้ง ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ
นายนครินทร์อธิบายว่า คดีดังกล่าวมีที่มาจากหลายทาง กว่าครึ่งหนึ่งมาจากศาลด้วยกันเองที่มองว่ามีข้อกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลปกครอง ศาลอาญา เป็นต้น ซึ่งมองว่า ผู้สื่อข่าวไม่ค่อยให้ความสนใจ และยังมีคดีอีกประเภทที่เพิ่มขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญ 60 คือคดีที่ประชาชนสามารถมาร้องทุกข์เองได้ ซึ่งนานทีจะมีมา สัปดาห์ละ 3-4 คดี
“อีกประเภทคือคดีที่มาจากองค์กรอิสระด้วยกัน เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคดีที่มาจากสมาชิกรัฐสภา คือคดีที่ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เราต้องรับคดีที่ประชาชนทั่วไปจะเรียกว่า คดีการเมือง แต่ส่วนตัวขอเรียกว่า คดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”
สำหรับข้อเสนอว่าควรมีโฆษกศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายนครินทร์ ระบุว่า ก็พยายามปรับตัว หน้าที่โฆษกก็ได้มอบหมายให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แต่เผอิญว่าช่วงนี้ล้มป่วย และมีรองเลขาธิการ รักษาการอยู่ แต่เลขาธิการ และรองเลขาฯความสามารถด้านการสื่อสารกับสื่อมวลชนอาจจะยังน้อยไปสักนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นายนครินทร์ ยืนยันว่า ตนเองในฐานะประธาน หรือแม้แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ไม่ควรเป็นโฆษกศาลด้วยตนเอง ที่มาแถลงข่าวนี้ก็เพราะเป็นภารกิจที่ปีละครั้งที่ได้พบสื่อมวลชน แต่ต้องขอความระมัดระวัง ว่าประธานหรือตุลาการไม่ควรแถลงข่าวด้วยตนเอง ควรจะมีโฆษกแยกไปต่างหาก
ส่วนข้อเสนอให้มีการปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายนครินทร์ ชี้ว่า การปฏิรูปศาลที่สำคัญต้องทำจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ศาลเราปฏิรูปตัวเองไม่ได้ และอีกส่วนอาจจะเป็นการปรับปรุงเล็กน้อยที่กระทำโดยองค์กรของศาลเอง ที่จะมอบหมายให้มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ ยกตัวอย่างเรื่องเอกสารข่าว หรือ Press Release ของศาล ถ้าติดตามจะเห็นว่า ปัจจุบันละเอียดขึ้นมาก มีการระบุว่าตุลาการเสียงข้างน้อยหรือเสียงข้างมากเป็นใคร ทุกอย่างชัดเจนเปิดเผย
“เราจะพยายามทำให้ละเอียด แต่ต้องบอกก่อนว่า ในคณะตุลาการก็มีที่มาจากสายศาล เช่น ศาลฎีกา ศาลปกครอง หลายท่านก็บอกว่า การทำเอกสารข่าวขนาดยาวมากไม่ใช่ขนบธรรมเนียมของศาล ซึ่งก็เป็นข้อขัดข้อง ในขณะที่ตุลาการสายที่มาจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็คิดว่าเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ ก็จะให้ข้อมูลทางกฎหมายมากขึ้น”
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า การเปิดเผยเสียงตุลาการข้างน้อย ข้างมาก เป็นดาบสองคม แต่ศาลของเราวางกติกามาแบบนี้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 และฉบับปี 2560 ก็รับกติกานี้มา ตุลาการทุกคนต้องเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนและต้องเปิดเผย ซึ่งก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ได้ ดังนั้น ตุลาการแต่ละคนก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยของแต่ละบุคคล
สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่า เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง นายนครินทร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้ร้องเข้ามาก็มีฝักฝ่าย คดีรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ 2 ฝ่ายขัดแย้งกันอยู่เสมอ ถ้าเห็นตรงกันก็จะไม่มีเรื่องร้องเข้ามาที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนคำว่า"นิติสงคราม "ประธานศาลรัฐธรรมนูญมองว่า เป็นคำที่พูดกันในสื่อมวลชน แต่เราไม่ได้คิดว่าเป็นนิติสงคราม เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่พิจารณาคดีรัฐธรรมนูญซึ่งมาจากหลายทาง และแต่ละคดีมีที่มาตามกฎหมายกำหนดไว้
“ศาลก็มีกระบวนการพิจารณา ต้องฟังความเห็นทุกฝ่าย มีขั้นตอนการชี้แจงต่างๆ อีกมากมาย เราก็ต้องทำงานตามขั้นตอน ไม่ใช่การตัดสินด้วยอารมณ์ เราก็ต้องว่ากันตามกฎกติกา” นายนครินทร์ กล่าว