ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ รีสอร์ต "จอนนี่มือปราบ" vs. สนามบินเสี่ยหนู-อนุทิน กฎหมายเดียวกัน ทำไมใช้ไม่เหมือนกัน !?
กฎหมายมีไว้ใช้กับใคร? เรื่องร้อนฉ่าที่วงการสีกากี และวงการการเมืองต้องหันขวับก็คือกรณี "จอนนี่มือปราบ" หรือ ด.ต.ยุทธพล ศรีสมพงศ์ อดีตตำรวจคนดัง ที่ออกมาฟ้องร้องอธิบดีกรมพัฒนาสังคมฯ ข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ปมรีสอร์ตของตัวเองถูกกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่นิคมสร้างตนเอง
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การฟ้องร้องกันธรรมดาๆ แต่มันชวนให้คิดถึง "มาตรฐาน" ของราชการขึ้นมาทันที เพราะ “จอนนี่มือปราบ” ซัดตรงไม่ให้งงนานตามสไตล์ บอกเลยว่า นี่คือการ "เลือกปฏิบัติ" และเชื่อว่ามี "เบื้องหลังทางการเมือง" แถมยังโยงไปถึงเรื่องที่แกเคยวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ มาก่อนหน้านี้ด้วย!
“จอนนี่” ยืนยันว่า ที่ดินรีสอร์ต ไม่ได้ซื้อจากใบ นค.1 หรือ นค.3 แต่เป็นการซื้อใบจับจองจากชาวบ้าน ที่ครอบครองมาก่อน ปี 2511 และมีการทำประชาคมหมู่บ้าน ก่อนจะเปิดรีสอร์ตด้วยซ้ำ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าบุกรุก แถมทนายความของจอนนี่ อย่าง “ทนายเกิดผล แก้วเกิด” ก็ตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการทางปกครองไม่มีเลย ลัดข้ามมาดำเนินคดีทันที
ที่สำคัญคือ ทำไมผู้ประกอบการรายอื่นที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน กลับไม่โดน !? นี่ส่อแววว่าเจ้าหน้าที่ "ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่" หรือ "กลั่นแกล้ง" ชัดๆ!
แต่ที่พีกไปกว่านี้ ก็คือ เมื่อมองไปอีกกรณีอย่าง ถนนของชุมชนกลายมาเป็น "สนามบิน” ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือสนามบินกระโดดร่ม จังหวัดนครราชสีมา ที่ถูกระบุว่า อยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเช่นเดียวกัน!
สนามบินนี้ มีรันเวย์ มีการใช้งานจริง มีเครื่องบินขึ้น-ลง มีคนเข้าออกตลอด แต่หน่วยงานรัฐกลับแค่ "ลงบันทึกประจำวัน" ว่าเป็นที่ของนิคมฯ แล้วก็เงียบไปเลย! ไม่มีแจ้งความ ไม่มีคำสั่งรื้อถอน ไม่มีดำเนินคดีใดๆทั้งสิ้น!
สองมาตรฐาน ต่างราวฟ้ากับเหว!
ลองดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน มาตรา 9 พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ ใช้ที่ราชพัสดุโดยไม่ได้รับอนุญาต , มาตรา 352 อาญาเข้าใช้ทรัพย์ของรัฐโดยไม่มีสิทธิ จำคุกไม่เกิน 1 ปี มาตรา 157 อาญา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จำคุก 1-10 ปี
ทั้งสองกรณี ทั้ง “รีสอร์ตจอนนี่” และ “สนามบินอนุทิน” ไม่มีเอกสารสิทธิ และอยู่ในเขตนิคมเหมือนกันเป๊ะ แต่ผลลัพธ์ต่างกันคนละเรื่อง!
รีสอร์ตจอนนี่ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ แจ้งความ ตั้งข้อหา เสี่ยงโดนรื้อ
สนามบินอนุทิน แค่ลงบันทึกเฉยๆ ไม่แจ้งความ ไม่ดำเนินคดี!
ต้องบอกว่านี่คือ "สองมาตรฐาน" ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด “จอนนี่” อยู่ในนิคมฯที่ชาวบ้านอยู่มาก่อนรัฐตั้งนิคม รีสอร์ตอาจจะผิดเพราะไม่มีเอกสารสิทธิ แต่สนามบิน กลับไม่ผิด ทั้งที่ใช้พื้นที่นิคมแบบเดียวกัน แถมยังสร้างถาวร และใช้งานจริง!
คำถามก็คือ ถ้าจอนนี่ผิด สนามบินอนุทิน ก็ต้องผิดด้วยหรือไม่ ?
หรือถ้าสนามบินไม่ผิด จอนนี่ ก็ไม่ควรโดนหนักขนาดนี้ หรือไม่?
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีตตำรวจ กับนักการเมืองใหญ่ แต่มันคือคำถามของประชาชนทั่วประเทศ ที่อยู่ในที่ดินรัฐมาทั้งชีวิต แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ และเมื่อมีปัญหา กลับถูกไล่รื้อ ไล่จับ หรือการใช้งานของบุคคลสำคัญ ถือว่าไม่รุก ?
สนามบินถ้าเป็นพื้นที่นิคมฯ เหมือนกัน แล้วทำไมไม่มีคำสั่งรื้อถอน ?
ในขณะที่ชาวบ้านร้องขอเอกสารสิทธิ์มานาน แต่ไม่เคยได้ ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาแก้ไขให้อย่างจริงจัง จะปลูกบ้านก็ผิด จะโอนให้ลูกหลาน ก็ไม่มีสิทธิ์ แต่พอมีข้อพิพาท กลับถูกดำเนินคดี ไล่รื้อ ไล่ฟ้อง
งานนี้ถูกสังคมมองว่า รัฐกำลังใช้อำนาจกฎหมายเหมือนอาวุธ เลือกจัดการเฉพาะคนที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ขณะที่อีกฝ่าย แม้จะอยู่ในลักษณะเดียวกัน แต่กลับไม่โดนแตะ หรือแท้จริงแล้ว ที่ดินนิคมสร้างตนเอง กำลังกลายเป็นพื้นที่พิเศษที่ "อภิสิทธิ์ชน" ใช้ได้ โดยไม่มีใครกล้าแตะ !?
++ เด้งด่วน 2 อธิบดี เด็กเนวิน ดึงผู้ว่าฯเชียงใหม่-เพชรบุรี “สิงห์ดำ”เชื้อสาย“โอวี” เสียบ
สนอง “นายใหญ่” แบบไม่ต้องเหนียมกันแล้ว เมื่อยึดกระทรวงมหาดไทยกลับมาได้ “มท.อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย นั่งหัวโต๊ะในที่ประชุมครม.นัดแรก ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ก็ฟันโช๊ะ 2 บิ๊กมหาดไทย ที่เป็นสายตรง “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เก็บเข้ากรุทันที
ย้าย “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” อธิบดีกรมการปกครอง ไปเป็นผู้ตรวจราชการ
เด้ง “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์” อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นผู้ตรวจราชการ
“ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” นั้นเติบโตในพื้นที่อีสานใต้ เคยเป็น รองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ก่อนขยับขึ้นเป็นผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น อธิบดีกรมการปกครอง
ส่วน “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์” เคยเป็นปลัดจังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนถูกโยกเป็น รองผู้ว่าฯ บึงกาฬ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯบึงกาฬ ถิ่นของ “บ้านใหญ่ทองศรี” ทรงศักดิ์ ทองศรี อดีต รมช.มหาดไทย ก่อนจะโยกมาเป็น ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ จากนั้นขึ้นชั้นเป็น อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ทั้ง กรมการปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีอำนาจ หน้าที่โดยตรง ในการควบคุมกลไกทั้งหมด ตั้งแต่ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปจนถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ
พูดง่ายๆ ว่ามีส่วนสำคัญต่อการเลือกตั้งเป็นอย่างยิ่ง แต่ “มท.อ้วน” บอกว่า ที่ต้องย้ายด่วนเพราะไม่สนองนโยบายปราบยาเสพติด!
เมื่อย้ายคนของ “ภูมิใจไทย” ออกไปแล้ว ก็ตั้ง “นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร” ผู้ว่าฯเชียงใหม่ เป็นอธิบดีกรมการปกครอง...และ ตั้ง “ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์” ผู้ว่าฯเพชรบุรี เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
“นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร” เกิด 19 ก.ค. 2515 สมรสกับ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร
การศึกษาระดับประถมและมัธยม ที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 44 ปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (วิทยานิพนธ์ดีมาก) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผ่านงานการเป็นปลัดอำเภอ ระดับ 3 - 7 ที่ จ.ตราด กระบี่ มุกดาหาร และจันทบุรี จากนั้นเป็นหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.สระแก้วและจ.จันทบุรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 17 จันทบุรี, ผู้ตรวจราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย , ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย
ปี 2558 ได้เป็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี จากนั้นเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
ปี 2561 ขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งแรก ที่ จ.บึงกาฬ จากนั้น ปี 2562 เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี
ปี 2563 เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นรองปลัดฯ ที่อายุน้อยที่สุด จนใครๆคาดหมายว่า ในอนาคต มีโอกาสสูงมากที่จะขึ้นไปถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย
ปี 2565 เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และ วันนี้ ปี 2568 ขึ้นเป็น อธิบดีกรมการปกครอง
ส่วน “ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์” จบระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และปริญญาตรี รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 41 ปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา
ในปี 2554 ได้รับตำแหน่ง ป้องกันจังหวัดจันทบุรี เลื่อนเป็นจ่าจังหวัดระยอง และได้ขึ้นเป็นนายอำเภอเขาชะเมา จ.ระยอง ในปี 2557 จากนั้น เป็นนายอำเภอเขาสมิง จ.ตราด และนายอำเภอบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
ปี 2560 ได้เลื่อนขึ้นเป็น ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ กรมการปกครอง ก่อนไปดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าฯ ลพบุรี ในปี 2563 และ รองผู้ว่าฯสระบุรี ต่อมาในปี 2564 ได้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมการปกครอง ก่อนจะย้ายไปเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นครั้งแรก ที่ จ. เพชรบุรี และวันนี้ ก็ขึ้นเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
เท่ากับว่า วันนี้ พรรคเพื่อไทยเลือก “สิงห์ดำ” เชื้อสาย “โอวี” มาเป็นมือเป็นไม้ในสายงานการปกครอง
การย้ายด่วน “2 อธิบดี” โดยไม่รอให้ถึงช่วงโยกย้ายใหญ่ประจำปี ในเดือนกันยายน ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีก 2 เดือนข้างหน้านั้น เหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปถึง บรรดา ผู้ว่าฯ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ที่เคยรับใช้ เครือข่าย “เนวิน-ภูมิใจไทย” ให้ตัดสินใจใหม่ วันนี้ยังไม่สาย
รีบเปลี่ยนโปรฯ ย้ายค่ายด่วน ก่อนที่จะถูกดีดเข้ากรุ ด้วยข้อหา “ไม่สนองนโยบายปราบยาเสพติด”