ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ที่หลายฝ่ายกังวลถึงทิศทางของประเทศจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณธรรมทางการเมือง สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นคือความตื่นรู้ของสังคมต่อความเสื่อมทรามของระบบเดิมที่เต็มไปด้วยการทุจริต คอร์รัปชั่น และการผูกขาดอำนาจโดยกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่ไม่ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ซึ่งแม้จะมีคลื่นลูกใหม่ทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่า บางกระแสกลับกลายเป็นแรงปะทะที่สร้างความแตกแยกในสังคม ทำให้เกิด "สงครามของคนรุ่นใหม่ รุ่นเก่า" มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติและสร้างสรรค์
แต่ท่ามกลางวิกฤติการเมืองเหล่านั้น ความหวังใหม่กำลังก่อตัว ในรูปแบบของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เพียงแต่มีอุดมการณ์ แต่ยังมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดบนหลักของ “ความรับผิดชอบในความเป็นพลเมือง” โดยมีเป้าหมายเพื่อธำรงรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และสร้างสมดุลทางอำนาจด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างรุ่น ไม่ใช่การปะทะเพื่อเอาชนะ
2 ชื่อที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ได้แก่ “อาร์ตถึงแก่น” หรือ อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง โฆษกพรรคโอกาสใหม่ พรรคการเมืองรุ่นใหม่ที่เป็นทั้งนักสื่อสารมืออาชีพและนักเคลื่อนไหวทางความคิด กับ “ฟ้าคราม” ชวิศร์ ชูประทุม บุคคลากรสายความมั่นคง ที่แม้ยังไม่ลงสนามการเมืองโดยตรง แต่กลับสร้างแรงบันดาลใจในบทบาทของพลเมืองที่เปี่ยมด้วยอุดมการณ์และความรู้ความสามารถ ทั้งคู่ถือเป็น Influencer ด้านสังคมและการเมืองที่มีผู้ติดตามหลักแสน และที่สำคัญกว่านั้นคือพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์ในภารกิจเพื่อชาติ
อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง หรือ “อาร์ตถึงแก่น” กล่าวว่า “ประชาชนต้องอยู่เหนือการเมือง หากวันใดการเมืองไม่มีคุณภาพ ประชาชนต้องลุกขึ้นมาจัดการ ไม่ใช่ด้วยความเกลียดชังหรือแบ่งฝ่าย แต่ด้วยการสร้างความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และยึดหลักการ ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกของพลเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ที่ควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้ เข้าใจปัญหาของประเทศชาติอย่างลึกซึ้ง และพัฒนาตนเองเพื่อมาร่วมวางรากฐานให้ประเทศมั่นคงและมั่งคั่งในอนาคต”
เขายังเน้นว่า การพัฒนาประเทศจะเกิดขึ้นได้จริง ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง กับคนรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์สูงสุดต้องตกอยู่กับ “ประชาชน” ไม่ใช่กลุ่มการเมือง
ฟ้าคราม ชวิศร์ ชูประทุม กล่าวเสริมว่า
“แม้วันนี้ผมจะยังไม่ได้ทำงานการเมืองโดยตรง แต่ในฐานะของพลเมืองไทย ผมพร้อมที่จะปกป้องชาติบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤตด้วยความรู้ ความสามารถ และความมุ่งมั่น หากวันหนึ่งประเทศไทยเดินมาถึงทางตัน ผมและกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันพร้อมจะแสดงพลังในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม”
เขากล่าวด้วยว่า การเมืองไทยยุคใหม่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องใช้ “ความรู้ผสานกับประสบการณ์” โดยไม่ทิ้งจิตสำนึกแห่งความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ในเชิงบริหารจัดการบ้านเมือง แต่ยังรวมถึงการธำรงรักษาและเทิดทูนสถาบันหลักของชาติอย่างจริงจัง
กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง “อาร์ตถึงแก่น” และ “ฟ้าคราม” จึงไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง แต่คือภาพสะท้อนของการเมืองแบบใหม่ที่กล้าแตกต่างอย่างมีสติและหลักการ ที่ไม่ถูกกลืนไปกับคลื่นของการเมืองแบ่งฝ่ายหรืออคติทางอุดมการณ์ แต่เลือกยืนหยัดในจุดยืนของ “พลเมืองผู้พิทักษ์บ้านเมือง”
ในขณะที่บางฝ่ายพยายามเบียดขับความคิดอนุรักษ์นิยมให้กลายเป็นสิ่งล้าหลัง ทั้งสองกลับเลือกที่จะตีความ “อนุรักษ์นิยม” ในมุมใหม่ ให้เป็นพลังของความมั่นคง ความรับผิดชอบ และความกลมเกลียว ไม่ใช่แค่การรักษาอดีต แต่คือการสร้างอนาคตที่มีรากฐานมั่นคง แม้คนรุ่นใหม่จะพร้อมก้าวขึ้นมา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า “ความมั่นคงของชาติ” เกิดจากการสานต่อ ไม่ใช่ล้มล้างพวกเขาไม่ได้มองคนรุ่นก่อนเป็นสิ่งล้าหลัง แต่กลับมองว่า คนรุ่นก่อนคือผู้วางรากฐาน และคือครูของประวัติศาสตร์ร่วม
“เราขอเพียงให้ผู้ใหญ่ในวันนี้ มีเมตตาและความอดทน พร้อมจะส่งต่อองค์ความรู้ คุณงามความดี และสิ่งที่ชนชาติไทยสืบสานมา ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และนำพาชาติไปข้างหน้า”
พวกเขาจึงขอส่งเสียงจากหัวใจถึงคนรุ่นก่อนที่เคยผ่านการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม ทั้งการทุจริตและการบ่อนทำลายชาติว่า
“ขอให้เชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่ที่ยืนหยัดบนอุดมการณ์ซื่อตรง รักแผ่นดิน และพร้อมจะปกป้องบ้านเมืองนี้ ให้มั่นคง แข็งแรง และงดงามตราบนานเท่านาน”
ในท้ายที่สุด ทั้งอาร์ตและฟ้าคราม ต่างยืนยันว่า หากประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน “เสียงของประชาชน” จะต้องไม่ถูกเพิกเฉย โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีความหวัง มีกำลังความคิด และมีความรู้ ความสามารถ พร้อมทำงานเพื่อประเทศอย่างแท้จริง การเมืองจะเป็นเรื่องของ “คุณธรรมและปัญญา” ไม่ใช่ “ผลประโยชน์และการชิงอำนาจ”
"ประเทศชาติไม่อาจอยู่ได้ด้วยอำนาจ แต่จะมั่นคงได้ด้วยคุณธรรมของคนทุกวัยที่ร่วมกันรับผิดชอบและส่งต่ออนาคต"
อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง
"ไม่ว่าผมจะอยู่ตรงไหนของประเทศไทย หน้าที่ของผมคือการยืนหยัดบนหลักการที่ถูกต้อง เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน"ชวิศร์ ชูประทุม
ทั้งอาร์ตและฟ้าครามยืนยันตรงกันว่า อนาคตของชาติจะไปได้ไกล หากทุกฝ่ายร่วมมือกันด้วยหัวใจของ “พลเมืองผู้พิทักษ์” ที่พร้อมจะต่อต้านการเมืองทุจริต ต่อต้านกลุ่มเซาะกร่อนทำลายชาติ และยืนหยัดปกป้อง สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่หลงไหลไปกับกระแสโลกที่พร่ามัวจริยธรรม การเมืองแบบใหม่ในมุมมองของพวกเขา ไม่ใช่การแข่งขันชิงอำนาจระหว่างกลุ่ม แต่คือ การประสานความคิดต่างรุ่น เพื่อผลิตพลังแห่งปัญญาให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม