xs
xsm
sm
md
lg

ครม.อนุมัติขยายเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์ โครงการช่วยเหลือทางการเงินผู้ประกอบกิจการ 3 จชต.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบการขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568
วันนี้ (24มิ.ย.) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) (โครงการฯ) (ตามข้อ 2) และอนุมัติวงเงินรวมไม่เกิน 750 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

สาระสำคัญของเรื่อง
1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ กค. ดำเนินโครงการฯ (ตามข้อ 2) โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการฯ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 มียอดอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวน 2,980 ราย (แบ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม 2,772 ราย และผู้ประกอบการรายใหม่ 208 ราย) วงเงินรวม 17,017 ล้านบาท
(กรอบวงเงินโครงการฯ 25,000 ล้านบาท) โดยมีสินเชื่อคงค้าง จำนวน 2,568 ราย วงเงินรวม
10,261 ล้านบาท และไม่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPLs)

2. โครงการฯ จะสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งหากไม่ได้รับการเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องชำระคืนเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และหากไม่สามารถชำระ คืนเงินกู้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระดอกเบี้ยในอัตราปกติของธนาคาร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมตามโครงการฯ ที่กำหนดไว้อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี (โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่จะเป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ให้สินเชื่อ) ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ เกิดความมั่นใจในการประกอบกิจการ และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง กค. จึงมีความจำเป็นต้องขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (20 ธันวาคม 2565 และ 14 มีนาคม 2566) เพื่อขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

1.คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศซึ่งมีบุคคล สัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกิจการการผลิตการให้บริการ ค้าส่ง และค้าปลีกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีสถานประกอบการอยู่ในเขตจังหวัดยะลา ปัตตานีนราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอเทพา จะนะ นาทวี และสะบ้าย้อย) โดยอาจเป็นผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมหรือผู้ประกอบการรายใหม่ และรวมถึงการรับซื้อหรือรับโอนกิจการเพื่อดำเนินธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าว

2.วัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยของยอดสินเชื่อคงค้างและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการฟื้นฟูกิจการในรูปของการกู้ยืมเงินประเภทวงเงินหมุนเวียนแบบมีกำหนดระยะเวลาเป็นลำดับแรก และสามารถให้เป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนขยายกิจการได้ เช่น ขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร เป็นต้น

3.วงเงินโครงการฯ วงเงินรวมทั้งโครงการฯ 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
3.1) วงเงิน 12,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ
3.2) วงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ มาก่อน
ทั้งนี้ ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ความสำคัญกับ ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อมาก่อนเป็นลำดับแรก โดยธนาคารออมสินสามารถบริหาร จัดการวงเงินโครงการฯ ได้ตามความเหมาะสม

4.วงเงินกู้ต่อรายและระยะเวลาชำระเงินกู้
4.1) ผู้ประกอบการที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท และไม่เกินวงเงินที่เคยได้รับ
4.2) ผู้ประกอบการรายใหม่ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องชำระคืนเงินกู้ให้คงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2570 หลังจากนั้นต้องชำระเงินกู้ส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2570 โดยให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ร่วมกับผู้ประกอบการ จัดทำแผนการชำระหนี้และกำหนดหลักเกณฑ์การชำระคืนสินเชื่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถชำระคืนสินเชื่อให้แล้วเสร็จได้ตามระยะเวลาที่กำหนดภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2570

5. วิธีการให้ความช่วยเหลือ
5.1) ธนาคารออมสินจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ โดยการให้กู้ยืมเงิน ผ่านสถาบันการเงิน ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
5.2) ธนาคารออมสินสามารถใช้วงเงินโครงการเพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการได้เช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ
6. อัตราดอกเบี้ย
6.1) ธนาคารออมสินคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี
6.2) สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 1.99 ต่อปี

7. จำนวนเงินและอายุของตั๋วสัญญาใช้เงิน ธนาคารออมสินจะให้กู้ยืมเงินผ่านสถาบันการเงินในอัตราเต็มตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบการหรือตามรายงานสรุปยอดสินเชื่อของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทและไม่มีเศษของหลักพัน โดย (1) กรณีเป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการการผลิตไม่เกิน 360 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และกิจการอื่น ๆ ไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และ (2) กรณีเป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
8.ระยะเวลาโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2570 (2 ปี 6 เดือน) โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 หรือจนกว่าวงเงินที่กำหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน

9.การชดเชยจากรัฐบาล รัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 750 ล้านบาท (คิดจากวงเงิน 15,000 ล้านบาท x ร้อยละ 2 ต่อปี x ระยะเวลา 2.5 ปี) โดยให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริงและทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป

10.เงื่อนไขอื่น ๆ ของธนาคารออมสิน
10.1) ขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA)
10.2) ขอนำผลการดำเนินงานของโครงการฯ นับรวมเป็นผลงานของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามภารกิจเชิงสังคมรวมถึงนำผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ มาปรับผลงานของตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ ค่าใช้จ่าย และการบริหาร คุณภาพหนี้ สำหรับการประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงของธนาคารออมสิน

10.3) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการในการให้สินเชื่อกับสถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำข้อมูลรายละเอียดและวัตถุประสงค์การใช้วงเงิน สินเชื่อของลูกหนี้ ตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารออมสินกำหนด เพื่อประกอบการเบิกจ่ายสินเชื่อกับธนาคารออมสิน

10.4) ธนาคารออมสินสามารถใช้วงเงินโครงการฯ เพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการได้และสามารถกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรวงเงินให้แก่สถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ตามความเหมาะสม

10.5) สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อและสุ่มสอบทานสินเชื่อรายลูกหนี้ในโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ พร้อมทั้งจัดทำรายงานสรุปผลการสอบทานดังกล่าวเป็นการเฉพาะแยกจากธุรกรรมสินเชื่อประเภทอื่น ๆ เป็นประจำ ทุกไตรมาส และรวบรวมรายงานดังกล่าวไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการสอบทานสินเชื่อสำหรับการเข้าตรวจสอบสถาบันการเงินประจำปีของ ธปท.

10.6) สำหรับหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ อื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 และวันที่ 14 มีนาคม 2566
กค. โดยธนาคารออมสินได้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการตามมาตรา 27 และมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อประกอบการเสนอเรื่อง ต่อคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยในส่วนของการดำเนินการตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กค. แจ้งว่า ณ สิ้นวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ภาระที่รัฐต้องรับชดเชย ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมียอดคงค้างจำนวน 1,077,913 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการอนุมัติโครงการฯ จำนวน 750 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว จะส่งผลให้ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,088,115 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 29 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 32 ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดไว้และเพื่อให้เป็นไป ตามมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินโครงการดังกล่าว ธนาคารออมสินจะจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น