เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนหากสังเกตมองให้ลึกลงไปอีกหน่อยจะเห็นว่า เวลานี้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มีลักษณะเหมือนกับว่า “สองครอบครัว” คือ “ชินวัตร” ที่กุมอำนาจภายใต้รัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับ “ฮุน” ใช้อำนาจผ่านทาง นาย ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเป็นลักษณะของการส่งผ่านอำนาจจาก “พ่อสู่ลูก” เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า ฝ่ายกัมพูชา “ฝ่ายลูก” นั้นมีความ “เขี้ยว” กว่า และดูฉลาด มีไหวพริบมากกว่าเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างไรก็มีพ่อคือ ฮุนเซน ชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ
วกกลับมาที่ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย ดูเผินๆ เหมือนกับว่าเป็นความขัดแย้งสองประเทศ แต่หากพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีก จะเห็นว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการ “แตกคอ” กันระหว่างสองครอบครัวดังกล่าว ซึ่งมีเรื่องที่ต้องให้ “ค้นหา” ว่าสาเหตุแท้จริงแล้ว มาจากอะไร ทำไมความสัมพันธ์แนบชิดที่มีมานานหลายสิบปีกลับมาพังครืนอย่างรวดเร็วชั่วข้ามคืนแบบนี้
ขณะเดียวกันที่น่าจับตาไปกว่านั้นก็คือ เวลานี้สถานการณ์กำลังถูกชี้นำให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองชาติ แบบที่ว่ากำลังใช้ประชาชนของแต่ละฝ่าย “เป็นตัวประกัน” หรือเปล่า
เพราะหากย้อน “แบ็กกราวด์” ไม่นานนักจะเห็นว่า ทั้งสองครอบครัวนี้ ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่อง“ผลประโยชน์ทับซ้อนในอ่าวไทย” ถูกเรียกร้องให้ยกเลิก “เอ็มโอยู 43” ที่อาจทำให้ไทยสูญเสียเขตแดนตั้งแต่ “บนบกลงทะเล” เสี่ยงที่จะสูญเสีย “เกาะกูด” หากยังยึดถือเอ็มโอยู ดังกล่าว รวมไปถึงการอ้างสิทธิ์แผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ที่กัมพูชายังยืนยันอยู่
และหากยังจำกันได้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ ยุคที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เริ่มเดินเครื่องเจรจาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเจรจา หากจำไม่ผิดก็มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นี่เป็นหัวหน้าทีม ท่ามกลางเสียงคัดค้านและเสียงวิจารณ์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนต่อเนื่องมาถึงยุคของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษกลับมาบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” ก็มี นายฮุนเซน มาเยี่ยมเขาเป็นคนแรก ก็ยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้นว่า คงไม่ใช่มาเยี่ยมเยียนถามเรื่องอาการป่วยอย่างเดียวแน่นอน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน น.ส.แพทองธาร ก็ไปพนมเปญพบหารือ ทั้ง นายฮุน มาเนต และ ฮุนเซน ตามมาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น แทบจะเรียกว่า เป็น “กำหนดการที่สั่งได้” เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี ความสงสัยดังกล่าวได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ ซาลงไปตามกาลเวลา แต่แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะกันที่บริเวณ “ช่องบก” อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม หลังจากทหารกัมพูชาลอบเข้ามาขุด “คูเลต” หรือ ร่องสนามเพลาะในเขตที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ และห้ามทำการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ จนเกิดการปะทะทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย และเกิดสถานการณ์ตึงเครียดเรื่อยมา โดยก่อนหน้านี้ มีทั้งทหารกัมพูชาและมวลชนจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาร้องเพลงชาติที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จนมีการเจรจาผลักดันออกไปจากฝ่ายทหารไทย ขณะเดียวกันหลังจากนั้นไม่นานทาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้มีคำสั่งปรับเวลาการเปิดปิดด่านชายแดนบางแห่ง โดยอ้างถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย และตามมาด้วยการการเข้มงวดไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่นการพนันในบ่อนการพนันในฝั่งปอยเปตประเทศกัมพูชา
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ก็ได้เกิดกรณี “คลิปหลุด” การสนทนาระหว่าง นายฮุน เซน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ปล่อยออกมาจากฝ่ายของ นายฮุนเซน ที่เผยให้เห็นพฤติกรรม “ขายชาติ” โอนอ่อนผ่อนปนให้กับฝ่ายกัมพูชาตลอดเวลา รวมไปถึงการเอาใจฝ่ายกัมพูชา ถึงขนาดกล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่า เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” และ “พูดจาเอาเท่” ซึ่งไม่ต่างจากการเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า “เอาหัวแม่ทัพไปบรรณาการฝ่ายศัตรู” อะไรประมาณนั้น
และเมื่อความลับถูกเปิดเผยดังกล่าว ทำให้ ตัวน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี “หมดความชอบธรรม” ลงไปทันที และสิ่งที่ฝ่ายเธอพยายาม “แก้เกม” ก็คือ การแสดงท่าที “เป็นหนึ่งเดียวกับกองทัพ” มีทั้งการทำความเข้าใจกับแม่ทัพภาคที่ 2 การประชุมฝ่ายความมั่นคงร่วมกับกองทัพ รวมไปถึงการ “ขออภัย” กับประชาชน แต่ยังยืนกรานไม่ลาออก ไม่ยุบสภา เดินหน้าปรับคณะรัฐมนตรี หลังจากที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไป
ที่น่าสังเกตก็คือ รัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เริ่มมีความแข็งกร้าวกับทางกัมพูชา มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่มี “คลิปลับ” จากฝั่งกัมพูชาทยอยออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอเน้นย้ำในเรื่อง“สันติ” เน้นการเจรจา ส่วนเรื่องการไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก หลังจากฝ่ายกัมพูชายื่นฟ้องอ้างอสิทธิ์ สี่พื้นที่ คือ ปราสาทตาเมือนธม ตาควาย ตาเมือนโต๊ด และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ที่มีช่องบกรวมอยู่ในนั้นด้วยต่อ ศาลโลก แต่ตอนนั้นฝ่ายไทยก็ล่าช้า แม้แต่การออกแถลงการณ์ก็เวลาล่วงเลยมานานกว่าสัปดาห์ไปแล้ว และยังมีการเจรจาทวิภาคีระดับ เจบีซี ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เพราะในวันนั้นคือ วันที่ฝ่ายกัมพูชา ยื่นฟ้องศาลโลก รวมไปถึงหลังจากนั้นก็มีการปล่อยคลิปลับออกมา โดยมีการระบุว่า เป็นการสนทนากันใน วันที่ 15 มิถุนายน วันเดียวกับที่มีการเจรจา เจบีซี นั่นเอง
อย่างไรก็ดี หลายคนสงสัยว่าทำไมฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะนายฮุน เซน ถึงได้มีท่าทีโกรธไทย โกรธ ครอบครัวชินวัตร มากมายขนาดนี้ถึงขั้น “ตัดสัมพันธ์”ที่ยาวนานกว่า 30 ปี ข้อสงสัยที่หลายคนมองว่าน่าจะมีสาเหตุหลักสองสามอย่าง เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าปฏิกิริยาโกรธกริ้วของ นายฮุน เซน น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทางฝ่ายกองทัพ “ปรับเวลา” การเปิดด่าน ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ “บ่อนปอยเปต” ซึ่งเชื่อว่าบ่อนดังกล่าว รวมทั้งอีกหลายบ่อนที่นั่นเป็นแหล่งผลประโยชน์หลักของ “ผู้มีอำนาจในกัมพูชา”
รวมไปถึงอีกหลายเรื่องที่อาจไม่เป็นไปตามที่รับปากกันไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ผลประโยชน์ในอ่าวไทย” ที่ยังไม่ค่อยคืบหน้า เรื่องการ “ตั้งบ่อนแข่ง” จากนโยบายของฝั่งไทยเกี่ยวกับ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เป็นการสกัดรายได้หลักทันที
อีกทั้งยังมีเรื่องการย้ายฐานการปราบปราม “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่หันเหหัวเรือจากฝั่งพม่า มายังฝั่งกัมพูชาในเวลานี้ ยิ่งโหมกระพือความโกรธให้กับ “พ่อลูกเขมร” ในเวลานี้ ล่าสุดมีการตอบโต้ ด้วยการระงับการนำเข้านำมันและก๊าซ และตามมาด้วยการปิดด่านเพิ่มเติม ตามเห็นในเวลานี้
แน่นอนว่า ยังไม่รู้ว่าใครจะเดือดร้อนกว่ากัน แต่ที่ผ่านมาสำหรับไทยแล้วถือว่ามีการพึ่งพากัมพูชาน้อยมาก และศักยภาพทางเศรษฐกิจ และกองทัพถือว่าเทียบกันไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าที่ผ่านมาเหมือนกับว่าฝ่ายเรา “หงอ” กัมพูชา อ่อนข้อให้ นายฮุนเซน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกมาก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มตึงเครียด เพิ่มความขัดแย้ง นำไปสู่การตอบโต้ของทั้งสองฝ่าย แต่หากสังเกตความรู้สึกจะเห็นเหมือนกับว่า รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังจับคนไทยเป็นตัวประกัน กำลังนำคนไทยเข้าไปสู่ความขัดแย้งโดยตรง ทั้งที่เริ่มแรกมาจาก “ผลประโยชน์สองครอบครัว” แต่เมื่อ “แตกคอ” กัน กลับลากคนไทยและกัมพูชาลงมา
แต่ถึงอย่างไรนาทีนี้ถือว่าเริ่มพัฒนาไปอีกแบบ โดยที่รัฐบาลกำลังพลิกเกมตอบโต้เต็มกำลังแล้ว ทางหนึ่งเพื่อตอบโต้ นายฮุนเซน และครอบครัว อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ หวังลบล้างข้อครหา “ขายชาติ” หรือเปล่า!!