ป.ป.ช. พร้อมตรวจสอบหนังสือร้อง ศ.ดร.พิรงรอง ขาดคุณสมบัติเข้าสู่กระบวนการพิจารณากฎหมาย หลังพบเอกสารรับเงินเป็นที่ปรึกษาสถาบันราชภัฏนครปฐมขณะเป็นกรรมการกสทช. กังขากรรมาธิการวุฒิสภาเกียร์ว่าง ไม่เคยตรวจสอบเรียกหาหลักฐาน
จากกรณีที่ นายพรศักดิ์ สุวรรณ นักกฎหมายอิสระ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียน ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมาขอให้ตรวจสอบ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. รับจ้างเป็นที่ปรึกษาแผนงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ซึ่งอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายนั้น
ล่าสุด แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงาน ป.ป.ช.ได้รับหนังสือร้องเรียนกรณีขาดคุณสมบัติของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง แล้ว พร้อมนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามขั้นตอนกฎหมาย ป.ป.ช. ในเร็วๆนี้ เนื่องจากเป็นกรณีที่สาธารณะให้ความสนใจและมีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่บอร์ดกสทช.ในอนาคต
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ป.ป.ช. ได้รับหลักฐานประกอบข้อกล่าวหา คือใบรับค่าตอบแทนการเป็นที่ปรึกษางานวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐมแบบรายเดือน อัตราเดือนละ 10,000 บาท ทุกเดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2566 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 50,000 บาท
“แนวทางการพิจารณาเรื่องนี้กำหนดไว้ในจริยธรรมผู้บริหารระดับสูงตามพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 มาตรา 8 กำหนดให้กรรมการกสทช.ต้องไม่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษารัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ และมาตรา 26 กรรมการกสทช.ต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา ดูแลคลื่นความถี่สมบัติชาติ ไม่เป็นลูกจ้างหรือรับเงินขององค์กรหรือหน่วยงานใดๆ”
ประเด็นสำคัญคือการตีความว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาแผนงานวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ถือเป็นที่ปรึกษาของหน่วยงานรัฐ ตามพ.รบ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ซึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม อยู่ในสังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
“จริงๆแล้วเรื่องนี้ควรได้รับการตรวจสอบว่าถูกหรือไม่ จากทางวุฒิสภาและกรรมาธิการวุฒิสภาซึ่งมีกลไกพิจารณาคุณสมบัติกรรมการองค์กรต่างๆอยู่แล้ว รวมถึงกรรมการกสทช.ด้วย คำถามคือกลไกตรวจสอบเหล่านี้เหตุใดจึงไม่ทำงาน ท้ายที่สุดเรื่องจึงต้องมาถึงป.ป.ช.” แหล่งข่าวระบุ
สำหรับหนังสือร้องเรียนของ นายพรศักดิ์ สุวรรณ นักกฎหมายอิสระ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.นั้น ระบุถึงประเด็นทางกฎหมาย 4 ด้าน ประเด็นที่ 1 ขัดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 8 (2): ห้ามกรรมการ กสทช. ดำรงตำแหน่งลูกจ้างหรือที่ปรึกษาในหน่วยงานของรัฐ และเป็นเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 20 (5)
ประเด็นที่ 2 ฝ่าฝืนมาตรา 26 เรื่องการปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา การรับงานอื่นควบคู่กับตำแหน่งจึงอาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่หลัก และขัดต่อหลักจริยธรรมและความไว้วางใจของสาธารณชน
ประเด็นที่ 3 อาจฝ่าฝืนมาตรา 128 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช.: กฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด และ ประเด็นที่ 4 อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การใช้เวลาราชการ หรือสถานะหน้าที่ในตำแหน่งเพื่อกระทำการใดที่เอื้อประโยชน์ส่วนตน
ก่อนหน้านี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง หนึ่งในสี่ของกรรมการเสียงข้างมากในบอร์ดกสทช. ได้ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาให้มีความผิดตามมาตรา 157 กรณีเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ส่งผลให้เอกชนเกิดความเสียหาย