DSI ขนลังสำนวนฮั้วประมูลสัญญาโครงการตึก สตง. ส่งมอบเลขาฯป.ป.ช. ไต่สวนความผิดบิ๊ก สตง. พร้อมขรก.รวมกว่า 70 ราย และ 6 ผู้บริหารกิจการร่วมค้า PKW ในความผิด พ.ร.บ.ฮั้วประมูลฯ จำนวน 73 แฟ้ม 13 กล่อง เอกสาร 31,224 แผ่น
วันนี้ (20มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้สอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กรณี บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เข้าเป็นกิจการร่วมค้า ITD-CREC คู่สัญญาก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ต่อมาวันที่ 26 พ.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้นำสำนวนการสอบสวน จำนวน 46 แฟ้ม เอกสาร 17,620 แผ่น พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) กับพวกรวม 5 ราย ส่งมอบพนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานคดีพิเศษเพื่อให้พนักงานอัยการมีความเห็นทางคดี
นอกจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนยังได้พิจารณาขยายผลสอบสวนเป็นอีกหนึ่งคดีพิเศษ เลขที่ 58/2568 ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือกฎหมายฮั้วประมูล ภายใต้การตรวจสอบสัญญา 3 ฉบับในโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ประกอบด้วย สัญญารับเหมาก่อสร้าง สัญญาการออกแบบ และสัญญาการควบคุมงาน เพื่อหาผู้เกี่ยวข้องรายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรอิสระ นิติบุคคล บุคคลธรรมดา ที่มีพฤติการณ์ได้มาซึ่งสัญญาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จนพบว่ามีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องรวมกว่า 76 ราย แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่รัฐภายในองค์กรอิสระ 70 ราย (ในจำนวนดังกล่าวมีผู้บริหารระดับสูงของ สตง. 4 ราย คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), พ.ต.อ.วัลลิพผล รังคสิริ เลขานุการของ พล.อ.ชนะทัพ, นายประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่า สตง.) และผู้บริหารของกิจการร่วมค้า PKW 6 ราย โดยดีเอสไออยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารสำนวนเพื่อเตรียมส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงภายใน 30 วัน ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าวันที่ 20 มิ.ย. เวลา 11.00 น. ที่ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (ศูนย์ราชการอาคารเอ) ชั้น 2 ประตู 3 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า วันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะนำสำนวนในคดีฮั้วประมูลการก่อสร้างอาคาร สตง. ไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวน ภายหลังจากที่ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีกับ 6 ผู้บริหารเอกชน และพบมูลในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอยู่ในคณะกรรมการฯ ทั้งคณะกรรมการควบคุม กรรมการตรวจรับ เป็นต้น
เมื่อถามว่าพยานหลักฐานจะสามารถดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงได้หรือไม่ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า ยังไม่มั่นใจว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ เนื่องจากอำนาจการไต่สวนเป็นของ ป.ป.ช. ส่วนดีเอสไอมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและแจ้งข้อกล่าวกับบุคลที่เกี่ยวข้อง แต่มั่นใจว่า ป.ป.ช. จะขยายผลตรวจสอบข้อเท็จจริงกับบุคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยส่วนประชาสัมพันธ์รายงานว่า คดีดังกล่าวคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนพบว่ามีพฤติการณ์และหลักฐานเกี่ยวกับการดำเนินการตามสัญญาควบคุมงาน ของกลุ่มนิติบุคคลร่วมค้า PKW โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่าในขั้นตอนการเสนอราคาและยื่นคุณสมบัติของผู้เสนอราคา มีพยานยืนยันว่ามีการปลอมลายมือชื่อและเอาชื่อบุคคลอื่นซึ่งไม่มีความสามารถเป็นไปตาม TOR มาใช้เพื่อให้ได้รับการคัดเลือก อันทำให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม เข้าข่ายเป็นการ “ตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือ โดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ” และ “เป็นการร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด” และ “ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 7 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 มาตรา 268 ประกอบมาตรา 83
โดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการกล่าวหาดำเนินคดีกับกิจการร่วมค้า PKW รวมแล้ว 6 ราย ประกอบกับมีบุคคล (ปกปิดนาม) จำนวน 2 ราย มากล่าวหาให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าพนักงานของรัฐ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.68 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้จัดทำแฟ้มสำนวนและสรุปรายงานการสอบสวนพร้อมความเห็นเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาส่งสำนวนการสอบสวนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 30 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาและมีความเห็นให้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 กรณี การจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) อาจมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ที่มีการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะไต่สวนและวินิจฉัย เป็นเหตุให้วันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 ได้นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว รวม 73 แฟ้ม จำนวน 13 กล่อง เอกสาร 31,224 แผ่น ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้กับเลขาธิการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น.ที่ผ่านมา ที่ สำนักงาน ป.ป.ช. จ.นนทบุรี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ได้นำสำนวนคดีพิเศษมาส่งมอบให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมี นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับสำนวนด้วยตัวเองสำหรับสำนวนคดีพิเศษนี้ ดีเอสไอได้สรุปผลการสอบสวนว่ามีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้บริหารองค์กรอิสระ 2.คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 คณะ ทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการควบคุมงาน 3.คณะกรรมการออกแบบและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 27
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ สตง. คนปัจจุบัน มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ นั้น อธิบดีดีเอสไอ ตอบว่า สำนวนดังกล่าวมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สตง. รวมอยู่ด้วย และคดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและพิจารณาของ ป.ป.ช. ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป