การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับการเป็นองค์กรชั้นนำด้านยางพาราระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง
กยท.จะมีอายุครบ 10 ปี ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 นี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผลงานอย่างไรบ้าง ?
ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานบอร์ด กยท. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กยท.ได้ดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ และพันธกิจ การจัดตั้งภายใต้พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย 2558 มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขับเคลื่อนนโยบายด้านยางพาราให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเอาจริงเรื่องการปราบปรามยางเถื่อน ทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้น ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 เคยขึ้นไปเกือบ 100 บาท/กิโลกรัม แม้ขณะนี้จะมีการปรับตัวลดลงมาบ้าง แต่ยังอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ในช่วงปีที่ผ่านมา กยท. ได้มุ่งมั่นที่จะผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิต การค้า และนวัตกรรมยางของโลกให้ได้ภายใน 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสวนยางพาราให้ได้มาตรฐานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เสริมความแข็งแกร่งให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง และยังประสบผลสำเร็จในการขับเคลื่อนมาตรการรองรับกฎหมาย EUDR (EU Deforestation-free Products Regulation) จนทำให้ประเทศไทยเป็นเพียง 1 ใน 2 ประเทศของโลกที่สามารถสามารถตรวจสอบย้อนกลับที่มาของยางพาราได้ว่า ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ยางพาราและผลิตภัณฑ์มาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องมีการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบคู่แข่ง เมื่อ EUประกาศบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ไทยจะสามารถขยายตลาดยางพาราในตลาดยุโรปได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ กยท. ยังได้ปรับตัวเตรียมยกระดับขึ้นสู่มาตรฐานระดับสากลในทุกๆด้าน โดยได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการประมูลยางผ่านระบบดิจิทัล Thai Rubber Trade (TRT) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของ กยท. สำหรับใช้ซื้อขายประมูลยาง และนำเทคโนโลยี Block Chain มาใช้ในการทำธุรกรรม พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาระบบใช้งานผ่าน Mobile Platform และ Web Application ช่วยลดระยะเวลาในการทำธุรกรรม และบริหารจัดการข้อมูลการซื้อขายยางทั้งหมดแบบ Real Time ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อยางที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามความต้องการได้จากทุกตลาดกลางยางพาราและตลาดเครือข่ายทั่วประเทศ รวมทั้งยังได้นำระบบรับชำระค่าธรรมเนียมส่งยางออกไปนอกราชอาณาจักรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบ Single Form และระบบรับคำขอใบรับรองคุณภาพยางทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ NSW มาใช้ เพื่อลดขั้นตอน ลดความผิดพลาด ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอีกด้วย
โฉนดต้นยางพารา เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ กยท.ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โดยวางเป้าหมายในระยะแรกจะมอบโฉนดต้นยางพาราให้แก่เกษตรกรในพื้นที่สวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย จำนวน 11.17 ล้านไร่ ทั้งนี้โฉนดต้นยาง ถือเป็นเอกสารสิทธิ์ในครอบครองต้นยางของเกษตรกร เป็นการพัฒนาศักยภาพต้นยางพาราให้เป็นสินทรัพย์ ที่สามารถใช้เป็นหลักประกันของรับบริการสินเชื่อ หรือเป็นหลักประกันเงินกู้เชื่อมโยงกับสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสถาบันการเงินต่างๆ ยกระดับมูลค่าที่ดินแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุน ช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางก็จะมีเงินไปพัฒนาสวนยางพาราของตัวเอง และหนุนเสริมการสร้างรายได้อื่นที่เกี่ยวข้อง
ผลงานของ กยท.ในรอบปีที่ผ่านมาที่โดดเด่นอีกเรื่อง คือ การเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางยี่ห้อ IRC เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ล้อยางมอเตอร์ไซค์แบรนด์ “Greenergy Tyre”ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐานเทียบเท่าประเทศญี่ปุ่น โดยใช้วัตถุดิบยางพาราจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งขณะนี้ได้ผลิตออกมาจำหน่ายล็อตแรกแล้ว และยังมีแผนที่จะเข้าไปถือหุ้นในบริษัทผลิตยางล้อชั้นนำแห่งหนึ่ง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณจากคณะกรรมการ กยท. 3,000 ล้านบาท เพื่อผลิตยางล้อรถยนต์แบรนด์ “Greenergy Tyre” ตามสูตรของ กยท. ซึ่งจะใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบมากกว่ายางล้อทุกแบรด์ประมาณ 30% ต่อเส้น พร้อมทั้งยังจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตได้มาตรฐานสากล มีความนุ่มนวล ยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม และมีอายุการงานที่ยาวนานรวมทั้งยังให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมในทุกขบวนการผลิต
อย่างไรตามเมื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศได้แล้ว ก็จะต้องป้องกันไม่ให้มียางเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมายด้วย เพราะจะทำให้กลไกตลาดบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา กยท.ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปราบปรามอย่างจริงจัง มีการตรวจสอบสต๊อกยางตามแนวชายแดน และสำรวจการผลิตยางธรรมชาติของเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กยท. ร่วมกับกรมกุศลกากรจัดทำมาตรการในการขนส่งยางผ่านประเทศไทย (Transit) เพื่อป้องกันยางเถื่อนหลุดลอดเข้าประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งยางจากประเทศพม่าผ่านประเทศไทยไปยังมาเลเซีย ซึ่งมีปริมาณมากถึง 200,000-300,000 ตันต่อปี
ทั้งนี้ กยท.จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบปริมาณและชนิดของยางตลอดจนเชื้อโรคและสิ่งปนเปื้อน โดยจะต้องขนส่งด้วยรถบรรทุกตู้คอนเทรนเนอร์ซีลปิดล็อก ไม่อนุญาตให้บรรทุกยางโดยรถบรรทุกทั่วไป พร้อมติดตั้งGPS เพื่อใช้ควบคุมการขนส่งตามเส้นทางที่กำหนด โดยจะต้องTransit ยางผ่านประเทศไทยไปประเทศปลายทาง (มาเลเซีย) ภายใน 72 ชั่วโมง มาตรการดังกล่าว นอกจากจะเป็นการทำระบบการขนส่งผ่านประเทศให้ถูกต้อง ป้องกันไม่ให้ยางจากต่างประเทศหลุดลอดเข้าสู่ประเทศไทยระหว่างการขนส่งแล้ว ยังจะทำให้ กยท. มีรายได้จากค่าบริหารฯ ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม มีรายได้สมทบเข้ากองทุนพัฒนายางพาราเพิ่มขึ้นอีก 400-500 ล้านบาทต่อปี และสามารถบริหารจัดการยางภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประธานบอร์ด กยท. กล่าวว่า ในรอบปีที่ผ่าน กยท.ได้ มุ่งหมายที่จะพัฒนายางพาราของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล และเป็นศูนย์กลางการผลิตยางของโลก แต่การที่จะทำให้ได้ภายใน 10 ปีนั้น กยท.จะต้องดำเนินในทุกๆ ด้านอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะการกำหนดราคาอ้างอิงในการซื้อขายยาง ในปัจจุบันผู้ค้ารายใหญ่จะใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในประเทศสิงคโปร์ (SICOM) ตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในประเทศญี่ปุ่น (TOCOM) และตลาดซื้อขายยางเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน(SHFE) มาเป็นราคาอ้างอิงในการซื้อขาย ซึ่งเปรียบเสมือนกับการนำกระแสราคาจากตลาดต่างชาติมากดดันราคายางในประเทศ ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้เป็นประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่เลย ในขณะที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่สุดในโลก ยางในตลาดโลก 1 ใน 3 เป็นยางที่มาจากประเทศไทย แต่ไม่สามารถกำหนดราคาได้เอง
"หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางยางพาราโลก ต้องควบคุมการผลิตให้ได้ ตลาดต้นทางจะต้องอยู่ในมือเราไม่ใช่เรื่องต่างชาติที่จะสามารถกำหนดราคาได้เอง ดังนั้น ในปีที่ผ่านมา กยท. จึงได้จับมือกับ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX พัฒนาการคำนวณราคายางพาราเพื่อเป็นราคาอ้างอิงของไทย (Rubber Reference Price) สำหรับซื้อขายยางเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ" ประธานบอร์ด กยท.กล่าว
ระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ กยท.ได้ประกาศใช้ราคาอ้างอิงยางพาราของไทยนั้น ปรากฎว่า มีผู้ประกอบการยางพาราเริ่มนำราคาอ้างอิงของไทยดังกล่าวไปใช้ในการซื้อขายพอสมควรจากอดีตไม่เคยมีมาก่อน ซึ่ง กยท. จะขับเคลื่อนและผลักดันให้มีการนำราคาอ้างอิงยางพาราของไทย ไปใช้ในการซื้อขายยางเพิ่มขึ้นเทียบเท่าหรือมากกว่าการอ้างอิงราคาจากตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง เนื่องจากเป็นราคาอ้างอิงของไทยเป็นราคาที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง มีมาตรฐาน โปร่งใส และสามารถตรวจสอบที่มาของราคาอ้างอิงได้ หากประสบผลสำเร็จจะทำให้ยางพาราของไทยมีเสถียรภาพอย่างแน่นอน
ก้าวต่อไปของ กยท. จะมุ่งพัฒนาบุคลากร ให้มีองค์ความรู และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมทั้งจะมีการเปิดให้สมัครใจลาออกเกษียณก่อนกำหนด (Early Retire) เพื่อจะเอาคนรุ่นใหม่ที่ความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยพัฒนาขับเคลื่อนองค์กรสู่ระดับสากลอย่างยั่่งยืน เช่นเดียวกับ สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จะต้องมีการพัฒนาศักยภาพ สามารถต่อยอดสู่การแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นการทำตลาดแบบจริงจัง โดย กยท. จะสนับสนุนความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกร ตลอดจนผู้ประกอบกิจการยาง ทั้งด้านวิชาการ การเงิน การผลิต การแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด และการประกอบธุรกิจ เพื่อพัฒนายกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยางพาราให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่งขึ้น
"ในส่วนของ กยท. จะปรับปรุงการบริหารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้การบริหารจัดการยางทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน จะต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ กยท. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติด้วย ซึ่ง กยท. มีแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ รวมทั้งสำนักงานสาขาที่มีความทันสมัยก่อนที่จะเปิดตัวสู่ตลาดโลก เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เชื่อถือ ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรที่บริหารจัดการยางพาราของประเทศที่ผลิตยางอันดับ1ของโลก" ดร.เพิกกล่าว
การปรับกลยุทธ์บริหารจัดการระบบยางพาราครั้งใหญ่ของ กยท. นี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยางพาราโลกอย่างก้าวกระโดดภายใน 10 ปี ได้หรือไม่ ...ต้องจับตา