เมืองไทย 360 องศา
ต้องเรียกว่าช็อกตาตั้งกันทั้งประเทศ สำหรับ “คลิปเสียงอุ๊งอิ๊งค์” คำพูดของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สนทนากับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลังรัฐบาลกัมพูชาในเวลานี้ โดยมีคำพูดตอนหนึ่งของ น.ส.แพทองธาร ที่ระบุว่า แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง “เป็นฝ่ายตรงข้าม” และเป็นการพูด “เอาเท่ ไม่ต้องไปฟัง เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อชาติ” ซึ่งต่อมาน.ส.แพทองธาร ก็ออกมายอมรับว่า เสียงในคลิปดังกล่าวเป็นคำพูดของเธอจริง แต่มีเจตนา เพื่อลดความตึงเครียดและลดอารมณ์โกรธของนายฮุนเซน เพื่อรักษาความสัมพันธ์เท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำพูดในเวลาต่อมาของ น.ส.แพทองธาร ที่ยอมรับว่าเป็น “เสียงจริง” นั้น ก็ต้องสรุปได้หรือไม่ว่า หากบอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย เป็นฝ่ายตรงข้ามแล้ว ถือว่า “เธอกับฮุนเซน เป็นพวกเดียวกัน หรือฝ่ายเดียวกัน” ใช่ หรือไม่!!
ก่อนหน้านี้ ในเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของนายฮุนเซน ได้มีการโพสต์ข้อความว่า “ค่ำวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ผมได้คุยโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีไทย เป็นเวลา 17.06 นาที โดยมี นายเคอเหลียง หุต เป็นล่าม ตามปกติแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด หรือถูกหลอกลวง ผมจำเป็นต้องบันทึกเสียงสนทนา และเพื่อให้มีความโปร่งใสในกิจการภายในของกัมพูชา
ผมส่งไฟล์เสียงการสนทนาระหว่างผมกับนายกรัฐมนตรีไทย ไปยังคณะกรรมการถาวรของพรรค คณะทำงานวุฒิสภา คณะทำงานรัฐสภา คณะทำงานที่รับผิดชอบกิจการต่างประเทศ คณะทำงานโฆษณาชวนเชื่อและการศึกษา คณะทำงานชายแดน และกองทัพ รวมทั้งสิ้นประมาณ 40 คน ในจำนวนนี้ อาจมีบางคนที่ไม่พอใจนายกรัฐมนตรีไทย เพราะหลังจากคุยกับผมเป็นเวลาหลายชั่วโมง ผู้นำไทยก็ออกมากล่าวหาผู้นำกัมพูชา ว่าเล่นการเมืองอย่างไม่เป็นมืออาชีพ และเล่นการเมืองผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาพูดและทำในสิ่งที่แตกต่าง ส่วนข้อความเสียงที่หลุดออกมาครั้งนี้ ผมเห็นแค่ว่า ยาวประมาณ 9 นาทีเท่านั้น ดังนั้น หากฝั่งไทยต้องการ ผมก็จะปล่อยข้อความเสียงทั้งหมด ซึ่งมีความยาว 17.06 นาที ออกไป” ข้อความในเฟซบุ๊กฮุนเซน ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกออนไลน์ของกัมพูชา กำลังมีการแชร์คลิปเสียง ที่นายฮุนเซน สนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนของทั้งสองประเทศ โดยในช่วงหนึ่งของการสนทนา น.ส.แพทองธาร บอกว่า อยากให้เข้าใจตรงกันว่าผู้นำทั้งสองประเทศอยากให้ชายแดนสงบสุข “ไม่อยากให้คุณลุงไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้าม อย่างพวกแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย พอไปฟังฝั่งนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลย”
“ทางนั้นน่ะ เขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ แต่ว่าจริงๆ ที่เราต้องการเนี่ย คือต้องการความสงบสุขให้เกิดขึ้นเหมือนตอนก่อนที่จะปะทะกันตรงชายแดน อะค่ะ บอกว่าให้ท่านฮุนเซน น่ะ เอ่อเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว” เสียงของ น.ส.แพทองธาร ในคลิประบุ
ต่อมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยอมรับว่าเป็นคำพูดของเธอจริง แต่อ้างว่าเป็นการพูดหลังไมค์ คุยโทรศัพท์กัน ไม่ควรนำมาเปิดเผย เป็นเทคนิคการเจรจาต่อรอง ตนทำตามโดยมีจุดมุ่งหมายรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมือง รักษาอธิปไตยของไทยไว้ เราคุยด้วยความนุ่มนวล จริงๆแล้วเวลาคุยส่วนตัว เราเรียกลุง เรียกคนในครม.ที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นพ่อ เรียกอา ลุง เป็นปกติ คุยกันว่าจะเอาอย่างไร
ส่วนที่บอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการบอกฮุนเซนว่า แม่ทัพภาค 2 ก็คุยไปอย่างนั้นแหละ เพราะคนแปลบอกว่า ท่านโกรธที่แม่ทัพภาค 2 พูด เลยบอกว่าปล่อยให้แม่ทัพภาค 2 พูดเท่ๆไป เพื่อให้คุยกันได้
“คำไม่ใช่พวกเรา เรากับกัมพูชา เป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว เราต้องพูดถึงกันไม่ดีอยู่แล้ว แม่ทัพภาคที่ 2 พูดไปอย่างนั้น แต่ก่อนคุยเขาพูดกับเราว่าท่านฮุนเซน โกรธที่คลิปแม่ทัพภาค 2 ออกมาพูด ทั้งที่จริงแล้วความสัมพันธ์ ไม่มีอะไร” เธอพยายามชี้แจงถึงการที่บอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า ความต้องการของฮุนเซน จริงๆ แล้วต้องการคะแนนนิยมในประเทศ โดยไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความที่ต้องการความนิยม เพราะท่านบอกเองว่า เริ่มตก เลยอยากเรียกพลังตรงนี้ หวังจะได้คะแนนนิยมเพิ่ม ตอนนี้อยู่ในสายตาของโลก เมื่อผู้นำ 2 คนคุยกันแต่มีการอัดคลิปแล้วปล่อยออกมาแบบนี้ แน่นอนตนไม่ได้ปล่อย ต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการเจรจาเพื่อให้เกิดสันติภาพ แต่ถ้าจะทำให้คะแนนนิยมท่านขึ้นก็ไม่เป็นไร
นายกฯ กล่าวว่า ต่อจากนี้ จะไม่มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวอีกต่อไป ส่วนทั้งสองตระกูล จะไว้ใจกันได้อีกต่อไปหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ยืนยันว่าเนื้อหาของการสนทนาที่ต้องการจะทำให้รัฐบาลแตกแยกกับทางกองทัพ ขอยืนยันว่ารัฐบาลและกองทัพไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เพราะก่อนที่ตนจะทำอะไรได้ปรึกษากองทัพก่อนตลอด
หากพิจารณาจากคำพูดดังกล่าวของ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า นาทีนี้อารมณ์ความรู้สึกของคนไทยถือว่า “รับไม่ได้” และต้องมีอารมณ์โกรธ อย่างแน่นอน และที่สำคัญก็คือ “ความไว้วางใจ” ในเวลานี้ถือว่า “หมดสิ้นไปแล้ว” เพราะกลายเป็นว่าเธอกำลังเป็น “พวกเดียวกับฮุนเซน” อย่างชัดเจน แบบไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว
ที่ผ่านมามีหลายคนสงสัยกันมากว่า ทำไมเธอ และภายใต้นายกรัฐมนตรีของไทย ที่มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีท่าทีโอนอ่อน ให้กับฝ่ายกัมพูชามาตลอด การแสดงท่าที และการออกแถลงการณ์ ทุกอย่างดูเชื่องช้าจนน่าสงสัยไปหมด ว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทยในเวลานี้ มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนเพิ่ม และที่สำคัญ “ไม่เคยมีท่าทีสนับสนุนกองทัพ”
โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 2 ที่นำโดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่มีท่าทีแข็งกร้าว ในเรื่องการรักษาอธิปไตยของชาติ แต่กลายเป็นว่า ฝ่ายรัฐบาลไทย ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย และ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีท่าทีโอนอ่อนให้กับฝ่ายกัมพูชาอยู่ตลอดเวลาจนคนไทยส่วนใหญ่ รู้สึกได้ จนสะท้อนความรู้สึกออกมาผ่านทางผลสำรวจที่ “ไม่ไว้วางใจรัฐบาล” และให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเร็ว ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูงลิ่ว
ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าในเวลานี้กำลังมีเรื่องที่กำลังปรับคณะรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยขอยึดโควตากระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย กลับมาดูแลเอง ซึ่งพรรคภูมิใจไทย ประกาศไม่ยอมรับและเตรียมถอนตัวจากรัฐบาลแล้ว ซึ่งหากเป็นแบบนี้ รัฐบาล “อุ๊งอิ๊งค์ 2” ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ อยู่รอดได้ลำบาก
เพราะสิ่งสำคัญก็คือ “ความไว้วางใจ” จากประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีปัญหาถูกตั้งคำถามในเรื่อง “วุฒิภาวะ” และความรู้ความสามารถ มานาน ดังนั้น การปรับคณะรัฐมนตรีคงไม่ทำให้ความเชื่อมั่นของรัฐบาลดีขึ้น หรือเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อเกิดกรณี “คลิปเสียง” ดังกล่าวออกมาถือว่าทุกอย่าง “จบเห่” เพราะนี่คือคำถามเรื่อง “ขายชาติ” อย่างชัดเจน กลายเป็นว่า นายกฯไทยเป็นพวกเดียวกับฮุนเซน ขณะที่ทหารที่ปกป้องชายแดนกลายเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” หน้าตาเฉย !!