เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่าตามหลัง “พ่อลูกเขมร” ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต อย่างน้อยหนึ่งก้าวเสมอ และกำลังทำให้ประเทศไทยกำลังกลายเป็น “ลูกไล่”ของกัมพูชาไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเรากำลังถูกรัฐบาลประเทศที่เล็กกว่า มีศักยภาพที่ด้อยกว่าทุกด้าน “ยื่นคำขาด” ถูกข่มขู่ และต้องตั้งรับอยู่ตลอดเวลา
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา นายฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังรัฐบาลกัมพูชา ที่มีลูกชายของเขาคือ นายฮุน มาเนต เป็นนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความยื่นคำขาดให้ประเทศไทยต้องเปิดด่านตามปกติภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นทางฝ่ายกัมพูชา จะทำการปิดด่าน และห้ามนำเข้าสินค้าจากไทย และจะไม่มีการเจรจากันอีก
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วฝ่ายไหนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ประชาชนของประเทศไหนจะได้รับความเดือดร้อนมากกว่า แต่สิ่งที่มองเห็นก็คือ การช่วงชิงในสงครามข่าวสาร และการกำหนดท่าของประเทศในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเขาล้ำหน้ากว่าเราเสมอ จนสามารถเปิดเกมรุกไปข้างหน้า ขณะที่ฝ่ายไทย โดยรัฐบาลไทยต้องตามหลัง เชื่องช้ากว่าหลายก้าว กลายเป็นฝ่ายตั้งรับเสียเปรียบอย่างไม่น่าเชื่อ
“กัมพูชาควรจะปิดพรมแดนทั้งหมดกับไทยในวันนี้ แต่รัฐบาลกัมพูชาได้เลื่อนการตัดสินใจออกไปหลังจากที่เขาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย” สื่อกัมพูชา อ้างคำพูดของ นายฮุนเซน และว่า หากไทยยังไม่เปิดด่านชายแดนกับกัมพูชาทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน เป็นต้นไป เราจะห้ามไม่ให้ผลไม้และผักของไทย เข้ามาในด่านตรวจชายแดนทั้งหมดของเรา”
ฮุนเซน ย้ำว่าทางการกัมพูชาจะไม่นั่งเจรจากับทางการไทยเรื่องการปิดเปิดพรมแดนเพราะเป็นไทยที่เริ่มก่อน
“กองทัพไทยเป็นฝ่ายควบคุมชายแดน และเมื่อกัมพูชาทำเช่นเดียวกัน คุณก็ต้องการเจรจาเพื่อรักษาหน้าใช่ไหม” เขาตั้งคำถาม “เราจะไม่เอาชื่อเสียงของเราไปเสี่ยงกับความผิดพลาดของคนอื่น!” ฮุนเซน กล่าวอ้าง
ต้องบอกว่ารัฐบาลไทยเดินตามหลังกัมพูชาอยู่เสมอ กรณีล่าสุดที่มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ ได้เสร็จสิ้นลง ภายหลังการประชุม ประธานเจบีซี ทั้ง 2 ฝ่าย คือ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานเจบีซี ฝ่ายไทย และ นายฬำ เจีย ประธานเจบีซี ฝ่ายกัมพูชา ได้ลงนามในบันทึกการประชุมร่วมกัน แต่ฝ่ายไทยกลับไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือเปิดเผยผลการประชุมให้สื่อมวลชนได้รับทราบเลย โดยระบุเพียงว่าให้รอฟังการแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา มีการแถลงผลการประชุมออกมาทันที ทั้งในเรื่องการตีกิน ในเรื่องอัตราส่วนแผนที่ หนึ่งต่อสองแสน ที่ไทยต้องมีท่าทียืนยันไม่ยอมรับ และยังฉวยโอกาสเอา วันที่ 15 มิถุนายน นำเรื่อง สามปราสาท คือ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ยื่นต่อศาลโลก ในวันที่ครบรอบ 63 ปี ที่ไทยต้องสูญเสียปราสาทพระวิหาร จากคำตัดสินของศาลโลก เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ปี 2505
ขณะที่ท่าทีและความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่บ้านพิษณุโลก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง มีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งหน่วยงานจากกองทัพ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ
น.ส.แพทองธาร เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า วันนี้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจทีมไทยแลนด์ โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งการตั้งคณะทำงานฯ เพื่อดูกรอบการทำงานว่าจะหาข้อมูลว่าปกป้อง ตั้งรับและตอบโต้อย่างไรจะต้องมีกรอบในการทำงาน ทั้งนี้ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่รับเขตอำนาจศาลโลก และขณะนี้ได้ศึกษากฎหมายและประวัติความเป็นมา ทุกอย่างมีข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดคือความคืบหน้าในการประชุมวันนี้
ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ สมเด็จฮุนเซน ประกาศว่าหากไทยยังไม่เปิดด่านในวันนี้ ก็จะปิดด่านทุกด่านของกัมพูชาตอบโต้ ที่ประชุมหารือเรื่องนี้ หรือไม่น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราไม่ได้ปิด แต่กำหนดเวลาในการเปิดปิดให้เปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากที่มีการปะทะกันเกิดขึ้นในประเทศไทย และหลังจากที่พูดคุยหารือตกลงจะปรับกำลัง โดยที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ได้มอบอำนาจให้กองทัพดูว่าสถานการณ์ข้างหน้าเป็นอย่างไร เพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์ แต่เมื่อกัมพูชาจะไม่ปรับกำลัง เราจึงมีการกำหนดระยะเวลาเปิดปิดด่านตามมา
“ขอย้ำว่า รัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนรัฐบาล และกองทัพให้เป็นหนึ่งเดียวกัน วันนี้ได้ต่อสู้ เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ พูดให้รู้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่นและไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้งใส่ร้าย ไม่ให้ใครมาขู่ เราเป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีและเป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับจากทั่วโลก” นายกฯ กล่าว
จากผลการประชุมดังกล่าวทำให้ทราบว่าเพิ่งมีการแต่งตั้ง “ทีมไทยแลนด์” เป็น “ทีมเฉพาะกิจ” สำหรับแก้เกมและตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาล้ำหน้าและเปิดเกมรุกไปไกลแล้ว และที่น่า “กระอักกระอ่วน” ไปกว่านั้นก็คือ คำพูดของ นายกรัฐมนตรีไทย ที่ว่า “เราจะไม่ยอมให้ใครมาข่มขู่ และเราเป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรี” ซึ่งคำพูดแบบนี้ ไม่สมควรที่ผู้นำของประเทศที่ใหญ่กว่า มีศักยภาพสูงกว่าในทุกด้าน อย่างประเทศไทยเป็นคนพูดแบบนี้ เพราะยิ่งพูดมันก็เหมือนกับ “ยิ่งเสียศักดิ์ศรี” ไม่มีน้ำยา ไม่มีภาวะผู้นำ เลยสักนิดเดียว
ดังนั้น หากพิจารณาในภาพรวมสำหรับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าฝ่ายไทย โดยรัฐบาลไทยที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พลาดท่า ไม่ทันเกมของฝ่ายตรงข้าม คือฝ่าย “สองพ่อลูกเขมร” คือ “ฮุนเซน กับฮุน มาเนต” จนกลายเป็นว่าประเทศที่เล็กกว่า มีศักยภาพด้อยกว่า “สร้างภาพข่มขู่” ไทยได้ตลอดเวลา จนทำให้ผู้นำไทยนั้นสูญสิ้นศักดิ์ศรี ไร้ภาวะผู้นำ แบบ “ไม่รู้เรื่อง” จนไว้ใจไม่ได้เลย!!