“จตุพร” ยอมรับเคยไปบ้าน “ฮุนเซน” โดยส่วนตัวถือว่าดีกัน แต่เรื่องของชาติ ไม่มีใครรักชาติตัวเองมากกว่าชาติของเรา ยืนยันตนไม่ใช่ผู้ลี้ภัย แม้มี ฮ.เขมรมารออยู่ที่ชายแดนตอนจะถูกถอนประกัน แต่ตนก็เลือกที่จะอยู่ในประเทศไทย จนกระทั่ง “ทักษิณ” โทร.มาสั่งให้ไปพบฮุนเซน บอกว่าอยากเจอจะได้คุยกัน
วันนี้(16 มิ.ย.) หลังจากนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาประกาศว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นศัตรูของกัมพูชา และเตือนให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่หันมาจับมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้อ่อนน้อมถ่อมตัวกว่านี้หน่อย เพราะเคยไปขอลี้ภัยกับนายฮุนเซนมาก่อน
ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” ตอน “ไม่ได้ใจ” ถึงกรณีดังกล่าวว่า ในตอนนั้นตนไม่ใช่ผู้ลี้ภัยและไม่เคยหนี แม้จะมี ฮ.ของเขมรมารอรับที่ชายแดน แต่ที่ไปพบนายฮุนเซน เพราะนายทักษิณ ชินวัตร จัดให้
นายจตุพรกล่าวว่า เรื่องราวที่ตนกับนายฮุนเซน นายฮุนมาเนต และบรรดามิตรที่ดีงามในซีกของกัมพูชาเดินมาถึงจุดนี้ถ้าเรามีความเข้าใจว่าระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวและผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องดินแดน ถ้าเราไม่สามารถแยกกันได้ ตนก็เหมือนคนขายชาติ ซีกของกัมพูชาก็เช่นกัน ที่ฮุนเซนและฮุนมาเนต ได้แสดงออกนั้น มันก็คือเรื่องของชาติบ้านเมือง เราต้องแยกย้ายเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้
กัมพูชาเขาก็รักชาติของเขา ตนเป็นคนไทยก็มีหน้าที่รักชาติบ้านเมือง เรื่องส่วนตัวนั้นก็เป็นเรื่องที่ดำรงอยู่ เพียงแต่ว่าเรื่องชาติบ้านเมือง ต้องเป็นเรื่องหลัก คือทุกเรื่องมนุษย์เราคุยกันได้ทั้งหมดดีงามกันได้ทั้งหมด แต่ยกเว้นเรื่องแผ่นดิน สุดยอดของตำราพิชัยสงคราม สุดยอดของการรบ เป็นที่ทราบกันดีว่าก็คือไม่รบ แต่ว่าจะต้องไม่มีใครสูญเสียดินแดนหรือผลประโยชน์อื่นใดของชาติ
นายจตุพร กล่าวอีกว่า หลายคนได้ตั้งคำถามเรื่องกรณีลี้ภัยที่นายฮุนเซนพูดเรื่องผู้ลี้ภัยคนเสื้อแดงไปกัมพูชา เป็นเรื่องที่มีอยู่จริงและดำรงอยู่จริง ได้รับการดูแลมีอยู่จริง แต่ตนไม่ใช่ผู้ลี้ภัย หลังจากเกิดเหตุการณ์ แน่นอนใครก็คิดว่าตนรอดยาก ยังไงก็ต้องโดนฆ่าแน่นอน ซึ่งเวลานั้นตนเป็น สส.และก็ยังไม่ถูกคุมขัง หลังจากเหตุการณ์ได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนก็ทำหน้าที่อภิปราย สื่อมวลชนก็มาถ่ายภาพกันเต็มไปหมด เพราะคิดว่าหลังจากนั้นตนจะต้องหลบหนี นายทักษิณก็เสนอให้หลบหนี ตนบอกว่าถ้าตนหลบหนีไป ก็จะกระทบกระเทือนจิตใจ โดยเฉพาะญาติคนตายและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือ คนที่ถูกคุมขัง ใครจะอยู่ทวงความยุติธรรมให้เขา และเราเมื่อเป็นผู้นำเขา เราต้องรับผิดชอบแม้ว่าจะต้องสุ่มเสี่ยง
วันที่อภิปรายปรากฏก็มีคนบอกว่ารองอธิบดีดีเอสไอคนหนึ่งบอกว่าการข่าวของเขาแจ้งว่าให้ตนรีบหนี ไม่เช่นนั้นจะถูกฆ่า ตนอภิปรายเสร็จก็สับขาหลอกกันนิดหน่อย ทุกคนคงคิดว่าตนคงไปแล้ว แต่รุ่งเช้าตนก็มาประชุมสภาและไม่เคยหลบหนี มิหนำซ้ำ ตนยังถูกยื่นถอนประกันทุกสัปดาห์
แต่มีคนทำหน้าที่ประสานทางฝั่งกัมพูชาว่าเขาเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้ที่ชายแดนทุกครั้งที่มีการยื่นถอนประกันตัว ซึ่งการถอนประกันตัวก็ทำทุกสัปดาห์ ตนก็ไม่เคยใช้บริการ เพราะไม่เคยคิดจะหนี แต่รู้ว่าอยู่ด้วยความยากลำบากไม่รู้ว่าวันไหน แต่ว่าภาระหน้าที่เรา เมื่อเราเป็นผู้นำคนเราต้องอยู่ด้วยความรับผิดชอบ จะผิดจะถูก ตนพูดอยู่เสมอว่าไม่มีใครผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าในขณะนั้น เรายังไม่ได้เจอคำสารภาพของนายทักษิณ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น ถ้าเขามาสารภาพแบบยื่นถวายฎีกาเหตุการณ์แบบปี 2553 ก็คงไม่ต้องขึ้น ไม่มีคนตายไม่มีคนเจ็บ ไม่มีคนสูญสิ้นอิสรภาพ คดียังยาวเป็นหางว่าวอยู่ในขณะนี้
"ทางกัมพูชาก็เอาเฮลิคอปเตอร์มาจอดรอ แต่ผมก็ปฏิเสธ จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณทักษิณ โทรมาบอกว่าให้ผมไปพบฮุนเซน อยากจะเจอกันสักครั้ง ให้คิดวิธี ก็ท้ายที่สุดก็ได้ไปเจอมีคนไทยอีกสองคน ไปเจอกันที่บ้านของฮุนเซน ซึ่งในวันนั้นเค้าก็ให้ลูกเขามาแทบทุกคน มากันทั้งบ้าน ได้พูดคุยเรื่องราวในการต่อสู้ของกัมพูชาเอง เล่าให้ฟังว่าตัวเองผ่านสงครามเสียดวงตาและถูกขังจนประสบชัยชนะ ก็แลกเปลี่ยนในแต่ละเรื่องราว คืนนั้นผมก็ไปนอนที่บ้านของนายพลฮุนมานี น้องชายของฮุนมาเนต หลังจากนั้นก็มีโอกาสพบปะกันต่างกรรมต่างวาระ” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ตนก็ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งตระกูลชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีปัญหาเรื่องดินแดน หลังจากตนมีปัญหากับทักษิณและแยกทางกันแบบเด็ดขาด ตนก็แทบจะห่างกันพอสมควร แต่บางคนก็พยายามติดต่อพูดคุยกันบ้างเป็นระยะๆ ฮุนเซน ก็เรียกตนว่าไอ้น้องชาย น้องชายทุกคำ ก็เป็นอย่างนี้
ที่เล่าให้ฟังเพื่อจะบอกว่าเราเป็นคนไทย ฮุนเซนเป็นคนกัมพูชา ฮุนมาเนตเป้นคนกัมพูชา เราแต่ละชาติ จะไปรักชาติอื่นมากกว่าชาติเราไม่ได้ ความรักในฐานะมนุษยชาติมันพึงจะรักกันได้ ยกเว้นเรื่องบูรณภาพแห่งดินแดน เรื่องอำนาจอธิปไตยในเรื่องนั้นๆ นี่เป็นจุดยืนของบรรดานักต่อสู้ทั้งหลายที่เขาต่อสู้กันมา
“ผมยืนยันว่าผมเองไม่เคยอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย ความจริงไม่ใช่เฉพาะกัมพูชา หลายพื้นที่ ได้ติดต่อให้ไปอยู่ ณ ขณะนั้น แต่ผมเลือกหนทางเสี่ยงตายอยู่ในประเทศไทย จนกระทั่งมาถึงวันนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเวลาที่ผมพูดไม่ว่าจะอยู่บนเวที หรือให้สัมภาษณ์ จะเห็นว่าผมพูดให้เกียรติเสมอ ซึ่งส่วนตัวก็ถือว่าดีกัน ไม่ปฏิเสธ”
นายจตุพรกล่าวอีกว่า ตนมีปัญหากับผู้มีอำนาจอย่างนายทักษิณมาแล้ว และกำลังมีปัญหากับผู้มีอำนาจสูงสุดอีกคน ก็มีคนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยมาเช่นกัน แต่ว่าคนเราเกิดมาไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ หน้าที่สำคัญก็คือตอบแทนคุณแผ่นดิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนเรียกร้องตลอดเวลาก็คือเรียกร้องให้นายกฯ ทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย วันนี้ท่านองคมนตรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ทหาร แสดงว่าสถาบันหลักของชาติย่อมรับรู้ในจิตใจของคนไทยที่มีประวัติศาสตร์การเสียดินแดนถึง 14 ครั้ง และจะไม่ยอมให้เสียอีก