เมืองไทย 360 องศา
ผ่านมาเกือบปีแล้ว สำหรับรัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และหากรวมเอารัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยแล้วก็รวมกว่า 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ดีเพื่อให้เห็นภาพก็จะแยกโฟกัสเฉพาะยุคของ น.ส.แพทองธาร ที่หากพิจารณาจากภาพรวมๆ ของรัฐบาลแล้วถือว่า กำลัง “เสื่อมถอย” อย่างหนัก จนเข้าขั้น “ร่อแร่” เลยก็ว่าได้ เพราะยังมองไม่เห็นแนวโน้มในทางบวกสักเรื่องเดียว
และที่ทำให้ศรัทธา และความเชื่อมั่นทรุดหนักก็น่าจะเป็นกรณีปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในเวลานี้ เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจล่าสุดที่เพิ่งออกมา อย่างของ “นิด้าโพล” เมื่อถามถึงความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่างๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้
จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า 1. กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 62.52 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 23.74 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ และร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
2. รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 37.48 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 31.68 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 18.85 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ และร้อยละ 11.99 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
3. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ รองลงมา ร้อยละ 30.76 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย ร้อยละ 22.90 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 10.46 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.46 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า
1.กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 61.76 ระบุว่า พอใจมาก รองลงมา ร้อยละ 23.97 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 10.30 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ และร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่พอใจเลย
2. รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 37.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ 30.99 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ
ร้อยละ 20.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ และร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก
3. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.73 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ และร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก
สอดคล้องกับผลสำรวจของ “โพลมหิดล” เปิดเผย ผลสำรวจประเด็น “คนไทยต้องการปรับครม.หรือไม่” ของ คณะสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย เป็นการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นด้านสถานการณ์การศึกษาและปัญหาที่เป็นกระแสสังคม ในพื้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
โดยผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นในประเด็น ท่านต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.6 ระบุว่า ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)
สาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องการให้มีการปรับ ครม. สะท้อนถึงความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง การขาดภาวะผู้นำ และความชัดเจนในการบริหาร การไม่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
รวมถึงปัญหาด้านการทุจริต ความไม่โปร่งใส และการไม่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการและคุณภาพชีวิต รวมถึงปัญหาเฉพาะพื้นที่ อย่างปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น
เมื่อสอบถามถึงกระทรวงที่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีมากที่สุด 5 อันดับ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด หรือร้อยละ 46.75 ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในส่วนของกระทรวงกลาโหมมากเป็นอันดับหนึ่ง
รองลงมาอันดับสองคือ กระทรวงการคลัง ร้อยละ 41.86 อันดับสาม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 38.26 อับดับสี่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 28.93 อันดับห้า มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร้อยละ 27.89 และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 27.88 ตามลำดับ ฯลฯ
เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าวแทบจะเรียกได้ว่า “ไม่มีดี” อะไรสักอย่าง ยังดีที่ไม่มีคำถามตรงๆว่า “ถึงเวลาเปลี่ยนนายกฯหรือยัง” รับรองว่าคำตอบคงออกมาล้นหลามแน่นอน เป็นเพียงแค่ถาม “รัฐบาล” เท่านั้น แต่ก็ย่อมหมายถึงตัวนายกฯ นั่นแหละ เพราะเธอเป็นผู้นำผู้บริหารสูงสุด
เป็นครั้งแรกที่การสำรวจทั้งสองสำนักดังกล่าว เมื่อรวมกันแล้วถือว่า “ครอบคลุม” แบบรอบด้าน “ในทางลบ” ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย ไม่ว่า “ความไม่น่าไว้ใจ” เรื่อง “ทุจริต” ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภาวะผู้นำ ไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วแต่ละเรื่องนั้นมี “เปอร์เซ็นต์สูงมาก” ในทุกเรื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันเมื่อไปโฟกัสชี้ให้เห็นถึง “เสถียรภาพ” ของรัฐบาลเวลานี้ก็ต้องบอกว่า “ง่อนแง่น” เต็มทีแล้ว โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเวลานี้ต้องจับตามความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ที่น่าจะเดินกันมาแทบจะสุดทางแล้ว แม้ว่าพอจะรับรู้ดีถึงที่มาของปัญหา แต่นาทีนี้จะเห็นถึง “รอบแตกหัก” ออกมาแล้ว ซึ่งหากในที่สุดแล้วพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกมา จะด้วยสาเหตุ “ถูกถีบ” หรือ ถูกยึดเก้าอี้ “มท.1” จนต้องออกมาเป็นฝ่ายค้านแล้วละก็ นั่นก็ถือว่า “เริ่มนับถอยหลัง” ของรัฐบาล “อุ๊งอิ๊งค์” ได้เลย เพราะนอกเหนือจากนี้ยังมีปัญหาในพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แบ่งเป็นสองก๊ก แยกกันเดินชัดเจน ยิ่งซ้ำเติม
ดังนั้น นาทีนี้สำหรับรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือว่าเริ่ม“นับถอยหลัง”แล้ว เพราะไม่ว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่มีความหมายแล้ว เพราะอารมณ์ของสังคมไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อมั่น เพราะหากปรับก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวนายกฯนั่นแหละ ถึงอาจจะเป็นการแก้ปัญหาได้บ้าง!!