xs
xsm
sm
md
lg

วันที่ “อุ๊งอิ๊งค์”ไร้ราคา กลายเป็น“ผู้นำตัวตลก” !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

ไม่น่าเชื่อว่าสภาพของผู้นำประเทศอย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะกลายสภาพเป็นแบบนี้ และที่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ไม่ถึงปีเท่านั้น ที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก สูญเสียความน่าเชื่อถือแทบจะหมดสิ้นแล้ว และที่สำคัญเวลานี้เธอกำลังกลายเป็น “ตัวตลก” เข้าไปทุกทีแล้ว ซึ่งหากพิจารณาอีกด้านหนึ่ง ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีแล้ว

ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ นายกรัฐมนตรีคนนี้มักถูกวิจารณ์ในเรื่อง “ไร้ภาวะผู้นำ” หรือ “ไร้ความสามารถ” จนทำให้ชาวบ้านขาดความเชื่อมั่น หลายคนสังเกตจากการที่เธอมักเลี่ยงตอบคำถาม หรือการ “อ่านโพย” แบบท่องจำในไอแพด และในการแถลงข่าว หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ต้องมีรัฐมนตรียืนเป็นแถวประกบเพื่อเรียกความมั่นใจ หรือตอบคำถามแทน หากต้องมีรายละเอียดที่ซับซ้อน เข้าใจยาก

ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร เริ่มถูกจับตาสังเกตในเรื่องขาดความรอบรู้ ขาดทักษะสำหรับนักการเมือง โดยเฉพาะสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเริ่มเห็นชัดเจนเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งที่พบกับประธานาธิบดีของอิหร่าน เมื่อหลายเดือนก่อน ที่คราวนั้นเธอมัวแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความแบบสนทนาในไอแพด โดยไม่ได้เงยหน้ามาสบตากับประธานาธิบดีอิหร่านเลย และนับจากนั้นมา เธอก็ถูกตั้งข้อสังเกตจนสังคมมองเห็นตรงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ไม่มีความรู้” ไม่มีทักษะในแต่ละเรื่อง สำหรับตำแหน่งผู้นำประเทศเลย

จากเรื่องดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อการบริหาร สั่งการในปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลที่สื่อสารกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือ หรือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ที่ถูกวิจารณ์ว่าล่าช้า กลายเป็นว่าสำหรับเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการการแก้ปัญหา และการสั่งการที่รวดเร็ว กลับทำได้ไม่ดี ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่อาจ “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” ได้เลย มีแต่พลิกโอกาสให้เป็นวิกฤตเสียมากกว่า

หรือล่าสุด กรณีเกิดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำให้รัฐบาลขาดความเชื่อมั่นจากประชาชน แม้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ “ครอบครัวชินวัตร” ไปเกี่ยวดองกับทางเครือข่ายอำนาจของ นายฮุนเซน ผู้มีอาจตัวจริงในกัมพูชาก็ตาม แต่ถึงอย่างไร ในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องสามารถสร้างภาวะผู้นำให้ชาวบ้านเกิดความเชื่อมั่นได้มากกว่านี้

กลายเป็นว่าหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะขึ้นระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ที่ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี การแสดงท่าทีของรัฐบาลกลับเชื่องช้า ไม่ทันเกมฝั่งตรงข้าม โชคยังดีที่ชาวบ้านยังให้ความเชื่อมั่นกับกองทัพ จนสามารถกดดัน รุกไล่ให้ทหารกัมพูชาถอนกำลังออกไปได้ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล ทั้งนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กลับทำให้คนไทยส่วนใหญ่มองว่า “อ่อนข้อ” ตามเกมนายฮุนเซน ไม่ทัน

จนทำให้หลายคนมองเลยเถิดไปไกลว่า สาเหตุที่ฝ่ายรัฐบาลต้อง “หงอ” แบบนี้อาจเป็นเพราะเกรงใจฝ่ายฮุนเซน เนื่องจากอาจมี “บางคน” ต้องใช้ “ช่องทางธรรมชาติ” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เริ่มไต่สวนเรื่อง การ “ป่วยทิพย์”หรือเปล่า

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า เวลานี้สังคมเริ่มมอง นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลายเป็น “ตัวตลก” ที่น่าสมเพชมากขึ้นทุกที หลังจากที่เธอเสนอให้ฝ่ายไทยไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้มีการปรับเวลาการ เปิด-ปิด ด่านชายแดนให้ตรงกัน โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความสะดวกทั้งสองฝ่าย ทั้งการค้าขาย และการข้ามแดน โดยคำพูดดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างการประชุมร่วมกับฝ่ายทหาร และฝ่ายปกครองในจังหวัดสุรินทร์ ระหว่างไปเยี่ยมชายแดนที่บริเวณด่านช่องจอม

“ในพื้นที่สามารถประสานได้หรือไม่ ให้เปิดเวลาตรงกัน ต้องให้ทางหน่วยงานความมั่นคงดูว่าเปิดให้เท่ากันได้หรือไม่ ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด - ปิด ตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากัน อันนี้จะดีกว่า ขอให้ลองดู คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีปัญหา” นั่นเป็นคำพูดของ นายกรัฐมนตรี หลังจากได้รับทราบเวลาการเปิดปิดด่านที่ “เหลื่อม” โดยทางฝ่ายกัมพูชาปิดช้ากว่าไทยหนึ่งชั่วโมง

จากคำพูดดังกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้เรียกเสียงวิจารณ์ตามมาอย่างมาก ทำนองว่า นายกฯไม่เข้าใจสถานการณ์ และสภาพปัญหา เพราะการปิดด่านเหมือนกับการ “บังคับ” กดดันให้ฝ่ายกัมพูชาต้องเดือดร้อน ก่อนการเจรจา หรือหากต้องการร่นเวลาเปิดปิดด่าน ให้ตรงกันก็เพียงแค่ฝั่งไทยกำหนดเวลาใหม่ให้ตรงกันเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปเจรจาร้องขอเหมือนกับว่าไทยต้อง “อ่อนข้อ” ให้กัมพูชา

“จากนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำหรือกองทัพเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาสันติภาพเอาไว้ ส่วนเรื่องรายละเอียดก็ว่ากันไปตามหัวข้อ แต่เรื่องที่จะดีลกันจะไม่เอามารวมกัน พูดคุยกันทีละข้อ เคลียร์กันแต่ละเรื่องไป“ นายกรัฐมนตรี ระบุ

สำหรับความเห็นแย้งท่าทีของนายกรัฐมนตรี อย่าง นายปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า "สร้างความเจ็บปวด" ไม่ใช่อำนวย "ความสะดวก"

1. ถูกต้องแล้วที่เราไม่ต้องการรบกับกัมพูชา แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรบมากขึ้นกว่านี้ จะได้ไม่ต้องรบจริงถ้าไม่จำเป็น

2. ก่อนจะประชุม JBC ในอีกไม่กี่วัน สำคัญที่สุดคือ ไทยจะต้องสร้างความ "เจ็บปวด" หรือความ "ไม่สะดวก" ให้กัมพูชาในหลายๆ ด้านเพียงพอที่จะทำให้เขา :

1) ถอนกำลังทหารและอาวุธที่จีนให้มาออกไปจากพื้นที่ที่เขารุกคืบเข้ามา ไม่ใช่ปล่อยให้เขาแค่ปรับกำลังหรือ "กลับหัวนอน" อย่างที่นายฮุน เซน ให้ข่าว

กรณีที่เกิดขึ้นและตามมาด้วยเสียงวิจารณ์นายกรัฐมนตรี ซึ่งหากไปดูตามสังคมโซเชียล จะได้เห็นเสียงตำหนิในเชิง “ด้อยค่า” ออกไปในทางเหยียดหยาม ในเรื่องสติปัญญาความรู้ความสามารถ ซึ่งน่าหนักใจเหมือนกัน สำหรับตำแหน่งผู้นำที่ถูก “บูลลี่” ในลักษณะแบบนี้จากชาวบ้าน และหากสังเกตอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ เพิ่งเกิดขึ้นกับนายกฯ ได้ไม่นาน แต่เริ่มรุนแรง และเร็วขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าต่อไปนี้ไม่ว่าเธอจะทำอะไร จะพูดอะไร ก็จะกลายเป็นเรื่องผิดพลาดไปเสียหมด และขณะเดียวกัน ก็ทำให้เธอขาดความมั่นใจเพิ่มขึ้นไปอีก ทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายลง

แต่ไม่ว่าอย่างไรในฐานะผู้นำประเทศ และนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น