xs
xsm
sm
md
lg

เปิดคำชี้แจง “สมศักดิ์” วีโต้มติแพทยสภา ยัน 3 หมอเอี่ยวชั้น 14 ไม่ผิดจริยธรรม พ้อตีวัวกระทบคราดนายใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเอกสารคำชี้แจง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ร่ายยาวเหตุผลวีโต้มติแพทยสภา อ้างการกระทำของแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าพักชั้น 14 ของ “ทักษิณ” ไม่ถือเป็นการทำผิดจริยธรรม ไม่ควรมีมติลงโทษ พ้อเหมือนตีวัวกระทบคราดนายใหญ่

วันนี้ (12 มิ.ย.) ในวาระการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ช่วงเวลา 12.00 น.ได้เปิดโอกาสให้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ชี้แจงและแสดงความเห็นตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 เกี่ยวกับเหตุผลที่วีโต้หรือการใช้อำนาจระงับยับยั้งมติของแพทยสภา เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย กรณีเอื้อประโยชน์ให้ นายทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าพักที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ หลังจากนั้น กรรมการแพทยสภาได้เชิญนายสมศักดิ์ออกจากห้องประชุม และทางกรรมการแพทยสภาจะร่วมพิจารณาและลงมติ


ทั้งนี้ สำหรับชี้แจงของนายสมศักดิ์ ได้ระบุว่า

อาศัยอํานาจ ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาให้ความเห็นต่อมติของแพทยสภา ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการค้ําจุนจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ อันเป็นเสาหลักที่ประชาชนใช้ยึดโยงความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการรักษาพยาบาลในสังคมไทย จริยธรรมทางการแพทย์นั้น มิใช่เพียงข้อบังคับหากแต่คือแก่นของวิชาชีพที่สะท้อนความรับผิดชอบของแพทย์ต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย โดยต้องตั้งอยู่บนหลัก 4 ประการ คือ การเคารพเจตจํานงของผู้ป่วย การให้ประโยชน์สูงสุด การไม่ก่ออันตราย และการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ การให้ความเห็นต่อมติลงโทษแพทย์จึงต้องดําเนินการด้วยความ รอบคอบ ละเอียดอ่อน และยึดมั่นในความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเอาผิดเพื่อ ตอบต่อกระแส แต่ต้องเป็นการตัดสินที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทของการปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต


ผมขอเรียนทุกท่านว่า ผมได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ได้จากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมีท่าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบและทุ่มเทใช้เวลาดําเนินการสอบสวนยาวนานถึง 5 เดือน 5 วัน โดยผลการพิจารณาขั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ปรากฏดังนี้:

1. นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข - มีความเห็นยกข้อกล่าวหา
2. พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ - เห็นควรลงโทษในระดับเบา โดยมีมติให้ “ว่ากล่าว ตักเตือน”
3. พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ - มีความเห็นว่า “ควรภาคทัณฑ์”
4. พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ - มีความเห็นชัดเจนว่า “ไม่มีความผิดทาง
จริยธรรม”

แม้ภายหลังจะปรากฏว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกลั่นกรอง และคณะกรรมการแพทยสภาในชั้นสุดท้าย มติที่ออกมา “กลับพลิกผัน” ไปจากผลการสอบสวน โดยมีการลงโทษที่สูงขึ้น ทั้งในรูปแบบของการพักใช้ใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพเป็นระยะเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นการตีความที่แตกต่างอย่างมีนัยสําคัญ และยังไม่ ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมที่ต่างจากชั้นสอบสวน แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และไม่อาจละเลยได้ก็คือ เหตุใด คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ จึงไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของ คณะอนุกรรมการสอบสวนดังกล่าว

หากไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติม หรือเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ การเปลี่ยนแปลงมติอย่างมีนัยสําคัญในขั้นสุดท้ายเช่นนี้ ย่อมทําให้เกิดข้อสงสัยว่ามีแรงจูงใจอื่นใดที่อยู่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงและหลักวิชาชีพมาประกอบในการตัดสินใจหรือไม่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา ผมได้พยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมถึงสองครั้ง แต่ทางแพทยสภา กลับมีความเห็นว่า ได้ส่งเอกสารให้ “เพียงพอแล้ว” ซึ่งในมุมมองของผม การไม่เปิดเผย ข้อมูลสําคัญเช่นนี้ อาจเป็นผลเสียต่อการใช้ดุลยพินิจและการลงมติอย่างรอบด้านในวันนี้

การลงมติในครั้งนี้ ผมก็คาดหวังว่า กรรมการทุกคนที่มาลงมติ จะมิได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากแต่เป็นผู้ที่สามารถคงไว้ได้ซึ่งความเป็นกลาง ผมขอเน้นย้ําอีกครั้งว่าการพิจารณาเสนอให้ยับยั้งมติในครั้งนี้ มิได้เกิดจากความเห็นส่วนตัวหรือการวินิจฉัยอย่างผิวเผินหากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบด้าน
แต่เนื่องจากผมมีความเห็นแตกต่างจากที่ประชุมแพทยสภา จึงนํามาสู่การประชุมในวันนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันพิจารณาอีกครั้งด้วยความ รอบคอบที่สุด

โดยผมขอชี้แจงเหตุผลการยับยั้งมติดังนี้ครับ

กรณี นพ.วัฒน์ชัย (ผู้ถูกร้องที่ 1) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการแพทยสภาได้วินิจฉัยโดยรอบคอบและมีมติยกข้อกล่าวหา เมื่อพิจารณาร่วมกับเอกสารและข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมเห็นว่า มติดังกล่าวสอดคล้องกับหลักนิติธรรม และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จึงเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการแพทยสภา

กรณี พญ.รวมทิพย์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) ถูกกล่าวหาว่าออกใบส่งตัวผู้ต้องขังแรกรับไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังถูกส่งไปรักษานอกเรือนจํา และถูกตีความว่าเป็นการไม่รักษามาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม อย่างไรก็ตาม การออกใบส่งตัวล่วงหน้าในขั้นตอนตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเป็นแนวปฏิบัติปกติในเรือนจํา เพราะเรือนจําไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ประจํา หรือแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา และเป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีที่ผู้ต้องขังมี ความจําเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง ในกรณีนี้ แพทย์เพียงอนุญาตให้นําใบส่งตัวเดิมไปใช้ตามคําร้อง ของพยาบาลเวรในภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ได้เป็นผู้มีอํานาจตัดสินใจส่งตัวผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นอํานาจของผู้บัญชาการเรือนจํา พฤติกรรมของ พญ.รวมทิพย์ฯ จึงอยู่ในขอบเขตของวิชาชีพแพทย์อย่าง เหมาะสม ไม่ปรากฏเจตนาทุจริตและไม่ควรถือเป็นความผิดทางจริยธรรม

กรณี หมอโสภณรัชต์ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง จากการให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังใน โรงพยาบาลตําารวจ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ข้อเท็จจริงคือ หมอโสภณรัชต์ ไม่ได้กล่าวว่าผู้ป่วย “วิกฤต” แต่อย่างใด คําพูดที่ว่า “ความดันยังสูงอยู่” และ “ยังมีอาการน่าเป็นห่วง” เป็นการอธิบายสภาพ ผู้ป่วยตามเวลานั้นไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือน และมิได้ขัดแย้งกับเวชระเบียน ในฐานะผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งมิใช่แพทย์เจ้าของไข้ การตอบคําถามนักข่าว ต่อหน้า โดยมิได้นัดหมาย ถือเป็นการให้ข้อมูลตามหน้าที่โดยสุจริต การตีความถ้อยคํา ดังกล่าวว่าเป็นความผิดจริยธรรมจึงไม่เป็นธรรม และไม่ควรใช้เป็นเหตุลงโทษทางวิชาชีพ

กรณี พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ (ผู้ถูกร้องที่ 4) ถูกกล่าวหาว่าเขียนใบแสดงความเห็นแพทย์ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาตัวต่อในโรงพยาบาล ซึ่งถูกตีความว่าให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง เรื่องนี้ที่ท่านลงโทษหมอทวีศิลป์ เพราะว่ามีการลงความเห็นการรักษาแพทย์ที่ไม่ตรงกัน ความเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการใช้ดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งข้อเท็จจริงจากการสอบสวน ความเห็นในใบแสดงความเห็นแพทย์ของหมอทวีศิลป์ฯ ไม่มีข้อความส่วนใดเป็นเท็จ แต่ข้อความที่ถูกลงโทษเกิดจากความเห็นแพทย์ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน

ความเห็นของแพทย์ที่มีลักษณะดูแลแบบองค์รวม ไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะโรคใดโรคหนึ่ง หากจะมีความแตกต่างกัน ก็ไม่ควรจะถือว่าความเห็นเหล่านั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เรื่องนี้แม้แต่คณะอนุกรรมการสอบสวน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ก็ยังมีการสรุปความเห็นมาก่อนแล้วว่า กรณีหมอทวีศิลป์ไม่ควรเป็นความผิด การวินิจฉัยเช่นนี้ก็รับฟังได้ มีเหตุผล

ท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน,

การตัดสินว่าการกระทําใดละเมิดจริยธรรมหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทโดยรอบ ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์ตายตัว หากเราต้องการรักษาจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ให้มั่นคงและเป็นธรรม ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ ความเมตตา และความกล้าหาญที่จะตัดสินโดยปราศจากอคติ

ท่านทั้งหลายรู้สึกไหมว่า ในเวลานี้มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจะเชื่อว่าการลงโทษหมอสามคนนี้ เป็นการ “ตีวัวกระทบคราด” ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจําคุกเพียง 1 ปี เมื่อเดินเข้าเรือนจํา ท่านก็ได้รับการตรวจร่างกายเบื้องต้น ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้กับผู้ต้องขังแรกรับทุกคน โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินสุขภาพและ ความจําเป็นในการรักษา ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับผู้ต้องขังรายอื่น

เพียงแค่ผู้ป่วยอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพรองรับการรักษาเฉพาะทางตามความจําเป็น กลับกลายเป็นเหตุให้แพทย์ 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในห้วงเวลาดังกล่าว ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ประพฤติผิดจริยธรรม ทั้งที่กระทําไปด้วยความรับผิดชอบในวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สูงสุด ของผู้ป่วยเท่านั้นหรือ


























กำลังโหลดความคิดเห็น