เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงวันสองวันนี้ คือ 12-13 มิถุนายน ถือว่ามีความสำคัญต่ออนาคตของคนบางคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะนายทักษิณ ชินวัตร เพราะใน วันนี้ (12 มิถุนายน) แพทยสภา นัดประชุมเพื่อยืนยันมติเดิมอีกครั้งเกี่ยวกับการลงโทษด้านจริยธรรมกับแพทย์จำนวน 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอาการของ นายทักษิณ ซึ่งต้องใช้เสียงข้างมากสองในสาม ทำให้มีการจับตาดูกันว่า จะได้เสียงเพียงพอหรือไม่
หลังจากก่อนหน้านี้ ฝ่ายการเมือง คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้ใช้สิทธิ์ยับยั้งหรือวีโต ไปแล้ว และในวันนี้ เขาก็บอกว่าจะไปสังเกตการณ์ด้วย และดูเหมือนเป็นการกดดันบรรดาสมาชิกแพทย์สภา ในส่วนที่เป็นข้าราชการประชุม
แต่ถึงอย่างไรเชื่อว่าแพทย์ทั้งหลายย่อมต้องมีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเองกันอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้รับกำลังใจจากแพทย์ทั่วประเทศ มีการร่วมลงชื่อให้กำลังใจกันมาตลอดเวลา และเชื่อว่าฝ่ายการเมืองที่เป็นฝ่ายกดดัน อาจกลับกลายเป็นฝ่าย “ถูกกดดัน” เสียมากกว่า
โดยคณะกรรมการแพทยสภา มีจำนวน 70 คน มาจากคณะกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 35 คน และมาจากการเลือกตั้ง 35 คน คือต้องใช้เสียงโหวต 2ใน 3 ของ 70 คณะกรรมการ เป็นเสียงชี้ขาด นั่นคือ ต้องได้เสียง 47 เสียงขึ้นไป ก็ต้องมาลุ้นกันว่า ผลจะออกมาแบบไหน
ถัดมาวันที่ 13 มิถุนายน ถือเป็นวันสำคัญที่ชี้ชะตา นายทักษิณ ชินวัตร นั่นคือ กำหนดนัดไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า “อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก” โดยศาลนัดพร้อมทั้งฝ่ายโจทก์ จำเลย รวมทั้ง ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาของศาล ว่า การบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณ เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล หรือไม่ อย่างไร
และก็อย่างที่รับรู้กันก่อนหน้านี้แล้วว่า ในวันที่ 13 มิถุนายน นายทักษิณ ชินวัตร จะไม่ไปปรากฏตัวที่ศาล ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เขาก็ได้เคยเปิดเผยมาแล้ว โดยจะส่งทนายความไปแทน
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความชัดเจนภายหลังปรากฏกระแสข่าวนำเสนอผ่านสื่อมวลชนบางสำนัก อาจมีการขอเลื่อนนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน นี้ ว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าจะมีการเลื่อนนัดไต่สวนออกไป ก่อนชี้แจงว่าตนเองในฐานะทนายความของนายทักษิณ ได้ยื่นคำขอขยายเวลา ส่งเอกสารคำชี้แจงต่อศาลออกไปก่อน ซึ่งศาลได้กำหนดกรอบเวลาเป็นภายในวันที่ 23 มิถุนายน ที่จะถึงนี้
นายวิญญัติ ยังยืนยัน ว่า ในวันที่ 13 มิถุนายน ตนเองในฐานะทนายความ จะเดินทางไปยังศาลฎีกาฯ ตามนัดไต่สวน โดยที่นายทักษิณ จะไม่ได้เดินทางไปด้วยตนเอง
สำหรับคดีนี้ ศาลฎีกาฯ ได้สั่งให้โจทก์ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอัยการสูงสุด รวมถึงจำเลย คือนายทักษิณ, ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ศาลฎีกาฯ ภายในไม่เกิน 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งทนายความของทักษิณ ได้ขอขยายระยะเวลาส่งเอกสารหลักฐานออกไป เป็นภายในไม่เกินวันที่ 23 มิถุนายน ดังกล่าว
ดังนั้น ในวันที่ 13 มิถุนายน สิ่งที่รับรู้ก็คือ ในวันนั้น นายทักษิณ จะไม่ปรากฏตัวที่ศาล และ สองในวันเดียวกันอาจมีคำสั่งบางอย่างจากศาลออกมา หลังจากที่นายทักษิณ ได้ขอขยายเวลาในการส่งเอกสารหลักฐานออกไปเป็น วันที่ 23 มิถุนายน โดยศาลอาจสั่งนัดพร้อมกันอีกครั้ง ก็เป็นไปได้ หรือว่าศาลอาจพิจารณาจากเอกสารหลักฐานของทั้งฝ่ายโจทก์ และจำเลย ที่ไปพร้อมกันในวันที่ 13 มีคำสั่งออกมาเลยก็ได้ หากศาลเห็นว่าจำเลยมีเจตนายื้อ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นดุลพินิจของศาล
อย่างไรก็ดี ในวันที่13 มิ.ย. ยังถือว่า เป็นวันระทึกใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึง นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว หากผลออกมาเป็นลบ มันก็มีความเสี่ยงต่อทั้งตัวผู้นำรัฐบาล ว่าจะมีความเสี่ยงต่อการอยู่รอดได้ หรือไม่
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วยในเวลานี้ ก็คือ ทุกอย่างกำลังอยู่ใน “ความเงียบ” ของนายทักษิณ ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เขากบดานเงียบ ไม่ออกมาให้ความเห็น หรือส่งสัญญาณใดๆ ออกมา ซึ่งรวมไปถึงเรื่องปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่ตอนนี้ถือว่า “เงียบ” และ “ลดดีกรี” ลงไปมาก แม้กระทั่งฝ่ายกัมพูชา โดยนายฮุนเซน และรัฐบาลของกัมพูชา เพราะหากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าพวกเขาลดท่าทีลงไปมาก เริ่มจากการถอนทหารจากแนวที่เคยรุกล้ำเข้ามาเกือบสองร้อยเมตร และมีการกลบสนามเพลาะ ที่มาแอบขุดเอาไว้
แม้ว่าก่อนหน้านั้น นายฮุนเซน ย้ำว่าได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการฟ้องศาลโลก โดยอ้างสิทธิ์พื้นที่บริเวณสระมรกต และสามปราสาท ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายทหารไทยได้มีการประกาศกำหนดลดเวลาในการปิดด่านชายแดน รวมไปถึงการประกาศกฎอัยการศึก รวมไปถึงเตรียมตัดน้ำ ตัดไฟ และสัญญาณอินเตอร์เนต ที่ส่งไปยังฝั่งกัมพูชา ทำให้ท่าทีของ นายฮุนเซน อ่อนลงไป
แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องยังจับตาวันที่ 14 มิถุนายน ที่เป็นวันประคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย -กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ว่าจะมีข้อเสนอที่น่าแปลกประหลาดอะไรออกมาให้เห็นอีก
ดังนั้น หากพิจารณากันในภาพรวมแล้ว ก่อนถึงวันที่ 13 มิถุนายน วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดพร้อมไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ การบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ว่าศาลจะมีคำสั่งออกมาแบบไหน แต่รับรู้ว่าเวลานี้มีแต่ความเงียบด้วยความระทึก จนไม่กล้าขยับตัวชั่วคราว รวมไปถึงกับฝั่งกัมพูชา ก็ต้องเงียบ ด้วยเกรงกระทบ “ช่องทางธรรมชาติ” ด้วยหรือเปล่า รู้แต่ว่าตอนนี้เงียบจริงๆ !!