ย้อนสถิติ "ชายแดนไทย-กัมพูชา" เขมรละเมิดเอ็มโอยู 651 ครั้ง ลำดับเหตุการณ์ก่อนเหตุปะทะช่องบก ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธม จุดเริ่มเผาศาลาตรีมุข ขุดคูเรด สู่การปะทะก่อนปรับกำลังอยู่จุดเดิมปึ 2567 เตรียมขึ้นโต๊ะเจรจา 14 มิ.ย.นี้
วันนี้(10 มิ.ย.ฉ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น มีสาเหตุสำคัญมาจากการละเมิดบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการระหว่าง ไทย - กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 43 โดยฝ่ายกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง
โดยลำดับเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุปทะทที่ช่องบกนั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.68 ประชาชนกัมพูชา และทหารกัมพูชา ขึ้นไปบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทยและทางการไทยอนุญาตให้ชาวกัมพูชาขึ้นมาเที่ยวชมได้แต่ห้ามมีการแสดงสัญลักษณ์ใดๆ แต่ชาวกัมพูชากลับร้องเพลงชาติกัมพูชาที่บริเวณปราสาท ฝ่ายไทยจึงยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ
วันที่ 27 ก.พ.68 พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ลงพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต พร้อมส่งทหาร 80 นาย พร้อมอาวุธประจำกายในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืนจ.อุบลราชธานี มีการตำหนิกำลังพลทหารกัมพูชาว่า เหตุปล่อยให้ทหารไทยมาทำกิจกรรมทางศาสนาที่ศาลาตรีมุข
วันที่ 1 มี.ค.68 เกิดเหตุเพลิงไหม้ ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพ ไทย - ลาว -กัมพูชา หน่วยในพื้นที่ได้รับข่าวสารว่า มีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธเข้ามาวางกำลัง พร้อมดัดแปลงพื้นที่รุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทย บริเวณช่องบกประมาณ 150 เมตร ช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ค.68 ฝ่ายไทยจึงจัดกำลังลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนยิงฝ่ายไทย จึงเกิดการปะทะกันขึ้น
ในช่วงสายวันเดียวกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประชุมทางไกลผ่านจอภาพร่วมกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผบ.ทบ.กัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ปรับกำลังออกจากแนวปะทะเพื่อลดการเผชิญหน้า และนัดหมายพบหารือกัน ที่ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 29 พ.ค. 68
วันที่ 29 พ.ค.68 มีการประชุมหารือระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย - ผบ.ทบ. กัมพูชา ผบ.ทบ. ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียของกำลังพลฝ่ายกำพูชา จากเหตุการณ์ปะทะ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน ใน 3 ประเด็น คือ
1.มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ในการแก้ไขความขัดแย้งในครั้งนี้,
2. บรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะ และ
และ 3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม
ต่อมา ฝ่ายกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ว่า จะไม่ปรับกำลังทหาร ออกจากแนวปะทะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อตกลงร่วมกันระหว่าง ผบ.ทบ.ทั้งสองประเทศ
แม้กัมพูชา จะอ้างว่ายึดมั่นในสันติภาพ แต่กลับมีการวางกำลังรุกล้ำดินแดน และดัดแปลงภูมิประเทศในพื้นที่ชายแดน
ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาได้มีการละเมิด MOU2543 จำนวน 651 ครั้ง เช่น
การปรับปรุงเส้นทาง การเทคอนกรีต ในพื้นที่ช่องอานม้า ตรวจพบเมื่อ 19 มี.ค. 68
การปรับปรุงป้อมปืน การขุดหลุม บุคคล ในพื้นที่ช่องอานม้า ตรวจพบเมื่อ 14 เม.ย. 68
การปรับปรุงเส้นทางและคูติดต่อบริเวณพื้นที่ช่องบก และบริเวณ เนิน 745 ตรวจพบเมื่อ 13 พ.ค. 68)เป็นต้น
ซึ่งฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงมาเป็นลำดับ แต่ฝ่ายกัมพูชา ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
หลังจากการปะทะที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พ.ค.เป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย และมีการหารือกันระหว่าง ผบ.ทบ.ของทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 29 พ.ค.แต่ฝ่ายกัมพูชายืนยันไม่ถอนทหารออกจากจุดปะทะ พร้อมฉวยโอกาสอ้างเป็นสาเหตุที่จะไม่ยอมรับ MOU2543 โดยสมเด็นฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาอ้างว่า MOU ฉบับนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะหลังจากใช้มา 25 ปีการปักปันเขตแดนไม่มีความคืบหน้าเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องนำเรื่องข้อพิพาทเขตแดนกับไทยขึ้นสู่การพิจารณาของศา ยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกเท่านั้น พร้อมเสริมกำลังและอาวุธหนักเข้าประชิดชายแดนไทย
เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเป็นลำดับ ฝ่ายไทยต้องใช้มาตรการควบคุมการเปิดปิดพรมแดนออกมาตอบโต้ ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. พร้อมประกาศจะตัดกระแสไฟฟ้า-ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และหนักสุดคือการปิดด่านตลอดแนว หากกัมพูชายังไม่ยอมให้ความร่วมมือในการลดความตึงเครียดกับไทย
สุดท้ายแล้ว เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ฝ่ายกัมพูชา โดย พล.ท.สรัย ดึก รอง ผบ.ทบ.และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย นำโดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล.สุรนารี หารือคลี่คลายความขัดแย้งที่ช่องบก ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือเห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่จุดเดิมเมื่อ ปี พ.ศ.2567 พร้อมทั้งกลบคูติดต่อ(คูเลต) กลับไปสู่สภาพเดิม สร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อการประชุม JBC ที่จะมีชึ้นในวันที่ 14 มิ.ย.68
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางหารือการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่องในอนาคต และยังจะดำเนินการตาม MOU2543 ต่อไป