เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าเวลานี้ สำหรับรัฐบาล โดยเฉพาะตัว นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังเจอกับมรสุมรุมเร้าที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนเวลานี้ “ความเชื่อมั่น” แทบไม่เหลือแล้ว ซึ่งถือว่าสำคัญยิ่ง หากเมื่อใดก็ตามที่ชาวบ้านไม่มีความเชื่อมั่นในตัวผู้นำย่อมส่งผลกระทบนั่นคือไม่อาจขับเคลื่อนผลงานอะไรได้แล้ว
สำหรับ น.ส.แพทองธาร เริ่มประสบปัญหาความไม่เชื่อมั่น หลังจากที่ถูกจับได้ว่าเธอ “ไม่มีวุฒิภาวะ” ไม่มีประสบการณ์ ขาดความรู้รอบตัว แม้แต่ความรู้ขั้นพื้นฐาน ในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ จนไม่สามารถตอบคำถามในเรื่องสาระสำคัญที่ต้องใช้ “ทักษะ” ความเข้าใจ สิ่งที่เห็นหากมีการแถลงทั้งในวาระที่เป็นเรื่องสำคัญ และทั่วไป เธอมักจะ “อ่านแบบท่องจำ”ตามโพยผ่านทางไอแพด ไม่สามารถตอบคำถามที่เจาะลึกลงไปได้ และนับวันยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ
แม้กระทั่งมีการตั้งงข้อสังเกตว่าในการให้สัมภาษณ์เธอมักจะพูดไทยคำอังกฤษคำ แต่ก็มีเสียงติงจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอีกว่า เธอใช้ภาษาไม่ถูกต้อง บางครั้งทำให้เกิดความสับสนขึ้นไปอีก
การถูกมองหรือถูกตั้งข้อสังเกตในเรื่อง “ไร้ภาวะผู้นำ” ถูกสงสัยในเรื่องไร้ความรู้ความสามารถย่อมส่งผลกระทบต่อรัฐบาล ต่อตัวของนายกรัฐมนตรี ประกอบกับสิ่งที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าก็คือ รัฐบาลภายใต้การนำของเธอไม่สามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประทับใจให้กับประชาชนได้เลย และสิ่งที่ถือว่า “ใกล้ตัว” ชาวบ้านมากที่สุดก็คือ เรื่อง “ปากท้อง” เรื่องเศรษฐกิจที่ถือว่ากำลังสร้างปัญหาอย่างรุนแรง มีเสียงวิจารณ์ดังขึ้นทุกวัน
ปัญหาราคาสินค้าเกษตรทุกตัว ล้วนมีปัญหาแทบทั้งหมด แต่เมื่อพิจารณาจากมาตรการรับมือกับปัญหาล่วงหน้า หรือแม้แต่การแก้ปัญหาเฉพาะกลับเชื่องช้า ไม่ทันการณ์ ส่วนสำคัญก็คือต้องมีการบริหารจัดการจากตัวผู้นำสูงสุดคือ นายกรัฐมนตรี แม้ว่าคงไม่อาจลงไปสั่งการในรายละเอียดปลีกย่อยทุกเรื่อง แต่ในฐานะผู้นำก็ต้องมีวิธีการบริหารสั่งการที่เป็นระบบ รวมไปถึงการติดตามงานมากกว่านี้
ขณะเดียวกันนอกเหนือจากตัวนายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่า “ไร้ความสามารถ” แล้ว ตัวรัฐมนตรีในรัฐบาลส่วนใหญ่ ถือว่า “ต่ำกว่ามาตรฐาน” ไม่ว่าจะเป็นทางการเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการต่างประเทศ ไม่สามารถสร้างความโดดเด่นออกมาได้เลย
เมื่อวกกลับมาที่ผลงานทางด้านนโยบายทั้งของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคแกนนำ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายหลักหรือที่เรียกว่า “เรือธง” ทุกอย่าง “ไม่ตรงปก” ดังที่เห็นกันอยู่ เชื่อว่าเวลานี้ชาวบ้านรับรู้แล้วว่า ทั้ง “เงินหมื่นดิจิทัล” ที่ถือว่าจบไปแล้ว แม้ว่าจะยังยืนยันว่ายังไม่เลิก แต่ถามว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เนื่องจากรัฐบาลไม่มีเงิน และยังเสี่ยงทำผิดกฎหมายด้านวินัยการเงินการคลัง และล่าสุดยิ่งมาเจอกับ “สงครามภาษี” จากรัฐบาลสหรัฐที่นำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ เชื่อว่าจะกระทบหนักในช่วงปลายปีเป็นต้นไป ถือว่าซ้ำเติมรุนแรงที่สุด
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ส่งผลให้ภาวะผู้นำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ติดลบ ก็คือปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ถือว่ากระหน่ำซ้ำเติมรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เพราะยังส่งผลกระทบทางลบกันทั้ง “ครอบครัวชินวัตร” ที่เดียว โดยเฉพาะลุกลามมาถึง นายทักษิณ ชินวัตร ที่ก่อนหน้านี้มีภาพความใกล้ชิดสนิทสนมกันกับครอบครัว “ฮุนเซน” ของกัมพูชา ถูกมองในเรื่องผลประโยชน์
เมื่อมาเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ที่เกี่ยวกับเรื่อง “อธิปไตย” และดินแดน ยิ่งทำให้คนไทยยิ่งเกิดความระแวง และเมื่อต้องเห็นท่าทีของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ที่ดูแล้ว “หน่อมแน้ม” อ่อนแอ เชื่องช้าไม่ทันเกมของฝ่ายกัมพูชา ยิ่งทำให้เครดิตดิ่งเหว ไม่มีทางฟื้นตัวได้เลย
เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นทุกฝ่ายรุมกระหน่ำไปที่นายกรัฐมนตรี รัฐบาล รวมไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร เกิดความระแวง ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลว่า จะรักษาอธิปไตยของชาติได้อย่างเต็มร้อย โดยเฉพาะคำพูดของ น.ส.แพทองธาร หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมครั้งแรก หลังจากเหตุการณ์ปะทะ และการเปิดเกมรุกจากฝ่ายกัมพูชาที่ขอมติจากสภานำปัญหาไปฟ้องศาลโลกไปแล้ว แต่ฝ่ายไทยยังเน้นการเจรจาและใช้คำสัตติวิธีได้เปลืองมาก
“ยืนยันว่าขณะนี้สถานการณ์ยังโอเคอยู่ และยืนยันว่า ทุกหน่วยทุกฝ่ายทั้งกองทัพและรัฐบาลมีการปรึกษากันตลอดก่อนที่จะดำเนินการใดใด อำนาจไหนที่เป็นของใคร และทุกคนทราบในอำนาจของตัวเองเป็นอย่างดี และวันนี้สิ่งที่ต้องการคือความเป็นเอกภาพในการทำงานทั้งหมดซึ่งวันนี้ ได้คุยกับ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย ว่า ไม่อยากให้เกิดกระแสหรือการปลุกปั่นว่า รัฐบาลกับกองทัพมีปัญหากัน ซึ่งความจริงแล้วไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น มีแต่การสนับสนุนกันอย่างดี และมีการเคลียร์กันว่าอำนาจหน้าที่ เนื้องานเป็นอย่างไรใครจะตัดสินใจ”
ส่วนเรื่องการเจรจา และรายละเอียดอาจจะไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมด แต่ขณะนี้ยืนยันว่ามีความเข้าใจและยังไม่มีความรุนแรงที่ขยายมากขึ้น ขณะนี้ ทางกองทัพก็ ยืนยัน มีการจำกัดวงเพื่อไม่ให้ขยายความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่แล้ว
ถามว่า เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่หากเปรียบว่าเป็นบ้านจันทร์ส่องหล้า หรือ บ้านพักของนายกรัฐมนตรีเอง มีคนมารุกราน นายกฯ ต้องขับไล่ แล้วการรุกดินแดนจะแก้ปัญหาอย่างไรให้รวดเร็วกว่านี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า เมื่อวานนี้มีการพูดคุยกันแล้ว แต่รายละเอียดต้องเคารพทั้งสองฝ่ายว่าสามารถให้ข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจา เข้าใจว่าสื่อมวลชนอยากได้เนื้อข่าว แต่การพูดคุยของทั้งสองฝ่ายโอเคทั้งหมด
ขณะเดียวกันกองทัพก็ยืนยันแล้วว่ามีความพร้อมทุกรูปแบบ พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ซึ่งกองทัพทราบอยู่แล้วว่า เหตุการณ์หน้างานเป็นอย่างไร ถึงเวลาที่ต้องปะทะหรือยัง และเป็นการตัดสินใจของกองทัพจะเป็นคนประเมินหน้างาน ว่าถึงขั้นที่ต้องปะทะหรือไม่ แต่หากยังไม่จำเป็น การที่จะปะทะไปจะเกิดความเสียหาย มากกว่าแรงเชียร์ที่ต้องการให้เกิดการปะทะ พร้อมย้ำว่าต้องใช้สันติวิธีให้ได้มากที่สุด ยืนยันว่าไม่มีใครช้าในเรื่องนี้ ทุกคนทำกันหมดแหละคุยกันหมดแล้ว อยู่ที่ว่าจะฟังส่วนไหนไม่ฟังส่วนไหนมากกว่า และรัฐบาลก็มีการออกแถลงการณ์ไปสองฉบับในการดำเนินการและแนวทางที่ประเทศไทยจะไปต่อ
เอาเป็นว่านาทีนี้ แม้ความตึงเครียดที่ชายแดนจะลดระดับลง แต่สำหรับ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังถือว่าหนักหนาสาหัสมากทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับ “วิกฤติความเชื่อมั่น” ที่ถดถอยลงทุกวัน และ “แรง” แบบเป็นทวีคูณ เพราะเมื่อต้องเจอกับวิกฤตหรือปัญหาคราวใด ไม่เคยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เลย ตรงกันข้ามมีแต่ “พลิกโอกาสให้เป็นวิกฤต” ทุกครั้ง และคราวนี้น่าจะกู่กลับมายาก !!