xs
xsm
sm
md
lg

กต.แถลงซัดกัมพูชาขาดความจริงใจ-ไม่ร่วมมือลดระดับความตึงเครียด ไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการปิดด่านเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระทรวงการต่างประเทศ แถลงชี้กัมพูชาขาดเจตนารมณ์และความจริงใจที่จะร่วมมือลด-ระงับความตึงเครียด ไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการเปิดปิดด่าน เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนและความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดน ขอเรียกร้องอีกครั้งให้ฝ่ายกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดเพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ลุกลาม ด้าน โฆษก ทบ.ย้ำ สาเหตุสำคัญที่ต้องควบคุมการเปิดปิดด่าน คือ ความปลอดภัยของประชาชน

วันนี้ (7 มิ.ย.) เมื่อเวลา 16.48 น. กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และกองทัพบก ได้ร่วมแถลงข่าว พัฒนาการสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา โดย นายนิกรเดช พลางกูร อดีตกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ตามที่เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารของทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณช่องบก อําเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งฝ่ายไทยมีความจําเป็นต้องป้องกันตนเอง และปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปอย่างเหมาะสมได้สัดส่วนและสอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติสากล

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ฝ่ายไทยได้ใช้ความอดทน อดกลั้น และมุ่งแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี โดยเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาพยายามลดความตึงเครียดในพื้นที่ และจํากัดความขัดแย้งให้อยู่เพียงจุดเกิดเหตุ

โดยมีการพูดคุยหารือในทุกระดับ ทั้งระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพบกของทั้ง 2 ประเทศบนพื้นฐานของความสุจริตใจ (in good faith) และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับกัมพูชา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็เห็นพ้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี โดยผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด

ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้ง 2 ประเทศ ได้พบหารือกันที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยฝ่ายไทยได้ย้ำอีกครั้งถึงความจําเป็นในการลดระดับความตึงเครียดบริเวณชายแดน และเสนอให้มีการปรับกําลังทหารให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิมก่อนเกิดเหตุขัดแย้ง เพื่อลดโอกาสการปะทะทางทหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ


อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิเสธทันทีต่อข้อเสนอในการปรับกําลัง และยังมีการเสริมกําลังทหารในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง และปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม MOU ปี 2543 หรือปี ค.ศ.2000 บนพื้นฐานของการเจรจาแบบสันติวิธีซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียด และทําให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น

การดําเนินการของฝ่ายกัมพูชาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการขาดเจตนารมณ์และความจริงใจที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทย ในการที่จะลดและระงับความตึงเครียดที่มีอยู่เดิม และทําให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ

ดังนั้น เป็นไปตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และเพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยแก่ประชาชนไทยตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยจึงจําเป็นต้องพิจารณาใช้มาตรการควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา โดยที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกําลังจันทบุรี-ตราด

โดยที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้กําหนดมาตรการหลักเกณฑ์วิธี และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จําเป็นและเหมาะสมในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งความเข้มข้นของมาตราการดังกล่าว จะเป็นไปตามระดับความตึงเครียดของสถานการณ์อันเกิดจากความร่วมมือของฝ่ายกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา

ขอย้ำว่า การดําเนินการของไทยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความปลอดภัยของทั้งประชาชนไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน และความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยจะคํานึงและระมัดระวังไม่ให้มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งด้านมนุษยธรรม

ฝ่ายไทยขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้ฝ่ายกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ลุกลามโดยไม่จําเป็น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อ ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายตามแนวชายแดน

ฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะใช้กลไกทวิภาคี โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ รวมถึงกลไกทวิภาคีอื่นที่มีอยู่ เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ บนพื้นฐานของความเคารพและความจริงใจต่อกัน เพื่อให้ชายแดนไทย-กัมพูชากลับไปสู่ความสงบสุข เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ทั้งนี้ นายนิกรเดช ย้ำในช่วงการตอบคำถามสื่อมวลชนว่าการประชุม JBC จะยังคงมีอยู่ ไทยยังคงประสงค์และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมีการประชุม JBC ซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 14 เดือนนี้ หวังว่าจะเป็นการเจรจาอย่างมี good faith ด้วยความจริงใจ ในชั้นนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามกําหนดที่จะมีการประชุม


ด้าน พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า ทางกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รับและดําเนินการตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งที่ผ่านมาท่านไม่ได้ละเลย หากแต่ได้อดทน และพยายามใช้การเจรจาอย่างสันติวิธี และมากไปกว่านั้นก็ยังได้กําชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการรุกล้ำเพิ่มขึ้นเป็นอันขาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในกระบวนการความพยายามที่ผ่านมากลับได้รับการตอบสนองไม่เป็นทางบวกเลย จึงจะต้องปรับมาตรการต่างๆ โดยล่าสุดทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ได้มีมติมอบหมายให้ทางกองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบในการนําแผนไปปฏิบัติต่อ


ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า ในส่วนของการปฏิบัติของหน่วยปฏิบัติคือกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 แล้วก็ยังมีในส่วนการผสานกับทางกองบัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยในส่วนของกองทัพบกมีการกําหนดอํานาจให้ผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ ได้แก่ กองกําลังสุรนารี และกองกําลังบูรพา มีอํานาจในการควบคุมการเปิดปิดนะจุดผ่านแดน

ในส่วนของการดำเนินการจะมีขั้นตอนโดยนึกถึงเรื่องของผลกระทบต่อการดําเนินชีวิต แล้วก็กิจกรรมที่มีในบริเวณพื้นที่ชายแดน จึงให้แต่ละหน่วยได้พิจารณา ทั้งนี้ อาจจะมีอยู่ 4 ขั้นตอน ซึ่งแต่ละจุดอาจจะไม่เหมือนกัน โดยในขั้นตอนแรกเป็นการจํากัดเรื่องของคน จะอาจจะเป็นผู้ที่ไม่มีความจําเป็นจริงๆ เช่น กลุ่มกลุ่มคนที่อาจจะไปเล่นการพนัน หรือกลุ่มคนที่จะไปสนับสนุนเรื่องของการกระทําผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งหน่วยในพื้นที่ต้องจะคัดกรองคนเหล่านี้

ส่วนคนในกลุ่มอื่นๆ เจ้าหน้าที่ก็จะพิจารณาให้สามารถเข้าออกได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บัญชาการทหารบกค่อนข้างห่วงกลุ่มที่อาจจะเป็นผู้ที่เดินทางเข้ามารับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษาก็ดี หรืออาจจะเป็นกลุ่มคนที่ต้องมีการเข้าออกเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลโดยเฉพาะคนชรา ซึ่งตรงนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำเป็นพิเศษไปที่หน่วยในระดับพื้นที่

ในส่วนของในขั้นที่ 2 จะเป็นลักษณะของการควบคุมเรื่องเวลา อาจจะกําหนดช่วงเวลา อาจจะไม่ได้เปิดตลอดหรือเวลาเดิมที่เปิดอยู่อาจจะมีช่วงเวลาที่ยาว คราวนี้อาจจะให้สั้นลง เปิดให้ตามความจําเป็นเท่านั้น

หรือไม่อาจจะมีการพิจารณาในเรื่องของบางจุดที่ไม่จําเป็น หรือบางจุดที่มีการกระทําผิดกฎหมายบ่อยๆ เช่น การลักลอบนําเข้าสินค้าต่างๆ ซึ่งตรงนี้อาจจะมีการพิจารณาปิดบางจุดไป ทั้งนี้ทั้งนั้นยังคงคํานึงถึงการดําเนินชีวิต การใช้ชีวิต วิถีชีวิตของพื้นที่ชายแดน

และมาตรการสุดท้าย คือ ปิดทุกจุดตลอดพรมแดน ซึ่งตรงนั้นถึงแม้ว่าขณะนี้กองทัพบกได้มีคําสั่งให้หน่วยสามารถดําเนินการได้ แต่อย่างไรก็ดี ในมาตรการต่างๆ คงจะต้องมีการประสานกับหน่วยทุกๆ ระดับอยู่เหมือนเดิม

พล.ต.วินธัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จริงๆ แล้ว ในรายละเอียดเหตุผลความจําเป็นได้ให้ข้อมูลผ่านสื่อไปแล้วเมื่อตอนกลางวัน แต่ก็ย้ำอีกทีว่ามาตรการในเรื่องของการควบคุมเข้มงวดในเรื่องของการเปิดปิดด่าน จริงๆ แล้วมีที่มาที่ไปที่สําคัญที่สุดก็คือเรื่องของความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน แต่ในรายละเอียด อาจจะเป็นเรื่องข้อมูลทางด้านการข่าวอะไรก็ดี เพราะฉะนั้นตรงนี้ อยากจะทําความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่าในมุมของความมั่นคงจําเป็นจริงๆ ที่จะต้องพิจารณา เพราะหนึ่งชีวิตคือความสําคัญมาก กับในมุมมองของเจ้าหน้าที่ทหาร

ส่วนรายละเอียดของการปิดด่านแต่ละจุด ต้องรอแต่ละพื้นที่ เพราะแต่ละพื้นที่จะบริหารจัดการไม่เหมือนกัน แต่ละคนอาจจะได้รับโจทย์หรือมีข้อมูลทางด้านการข่าว หรือมีสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน

“แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าใน 4 ขั้นใน 4 ระดับเราจะค่อยๆ เขยิบขึ้น หน่วยไหนจะทําข้าม 2 หรือเริ่มจากหนึ่งไป 4 หรือหน่วยไหนจะมา 3 เลย ก็ให้เป็นเรื่องของดุลพินิจการพิจารณาของหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ หรือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทั้งฝ่ายปกครองด้วย และทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติด้วย” พล.ต.วินธัย กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น