เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่ามีแต่ภาพลบจริงๆ สำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ว่ามองไปทางไหนล้วนแล้วแต่มีแต่เรื่องให้ต้อง “กลุ้มใจ” เสียเครดิตกันทั้งนั้น อย่างล่าสุดก็เพิ่งเจอกับเรื่อง “ต่อล้อต่อเถียง” กับนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จนถูกนำไปตำหนิติเตียนทั่วบ้านทั่วเมือง ในเรื่อง “ไร้วุฒิภาวะ” ตอกย้ำกับเรื่องเดิมๆ จนเพิ่มแต้มลบสุดกู่ลงไปอีก
ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องปัญหาชายแดนด้านเขมรที่เวลานี้รัฐบาลภายใต้การนำของเธอกำลัง “พลิกวิกฤต ให้วิกฤตมากกว่าเดิม” ทุกอย่างกำลังเดินตามหลังรัฐบาลเขมร ที่มี นายฮุน เซน เดินเกมอยู่เบื้องหลัง เพราะสิ่งที่รัฐบาลไทยดำเนินการอยู่ถือว่า “ช้ากว่าไปหลายก้าว” จนทำให้เราถูกมองว่า “ไม่ทันเกม” ฝ่ายโน้น
และที่สำคัญเหมือนกับว่าสาเหตุที่เป็นแบบนี้ การไม่กล้าขยับแบบนี้ อาจเป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลเขมร หรือกัมพูชา ที่ชี้นำโดย ฮุนเซน กำลัง “กุมความลับ” บางอย่างของ นายทักษิณ ชินวัตร “พ่อของนายกฯ” ก็เป็นไปได้มากทีเดียว
อย่างที่รับรู้กันทั่วว่า ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว “ตระกูลฮุน” ของนายฮุนเซน กับ “ตระกูลชิน” ของ นายทักษิณ ชินวัตร มีความแนบแน่นกันมาก เรียกว่า “เป็นดอง” กันเลยทีเดียว เพราะลูกสาวของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ นายทักษิณ ไปแต่งงานกับกลุ่มอำนาจของ นายฮุนเซน
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้นในช่วงหลายปีก่อนในช่วงที่ นายทักษิณ กำลังหลบหนีคดีทุจริตในไทยก็ได้ นายฮุนเซน นี่แหละ ให้การช่วยเหลือ และมีการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจ และไม่ยอมส่งตัวให้รัฐบาลไทยในขณะนั้น อีกทั้งยังเปิดทางให้มีการส้องสุมกำลังคนเสื้อแดง ในยุคนั้นชุมนุมก่อกวนในประเทศไทยเสียอีก
หรือหากย้อนกลับไปไม่กี่ปี ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น้องสาวอีกคนหนึ่งของ นายทักษิณ ที่หลบหนีคดี เกี่ยวกับทุจริตจำนำข้าว ก็มีรายงานว่าใช้ “เส้นทางธรรมชาติ” แถบชายแดนเขมร ก่อนหลบหนีออกไปประเทศที่สาม
นี่คือคำอธิบาย และคำตอบว่าสองครอบครัวนี้มีความ “แนบแน่น” กันอย่างไร เป็นความแนบแน่นมาตั้งแต่รุ่นพ่อมาจนถึง “รุ่นลูก” ที่ตอนนี้ต่างได้รับการผลักดันจากพ่อ ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยลูกชายของ นายฮุนเซน คือ นายฮุน มาเนต เป็นนายกฯเขมร ขณะที่ ฝ่ายไทยก็มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ โดยทั้งคู่ต่างมีพ่ออยู่เบื้องหลัง
นั่นเป็นแบ็กกราวด์ ที่เชื่อว่าหลายคนรับรู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องการฉายภาพซ้ำๆ กันอีกเท่านั้นเอง เพราะเชื่อว่านี่คือ “เกม” ที่มี “เบื้องหลัง” ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ระหว่าง นายทักษิณ และ นายฮุนเซน รวมไปถึงภาพใหญ่คือ “เอ็มโอยู 43” ที่หลายคนมองเห็นว่าทำให้ไทยเสียเปรียบ ทั้งเรื่องการ “เสียดินแดน” และทรัพยากรธรรมชาติในทะเลและบนบก ซึ่งมีเสียงเรียกร้อง ให้ยกเลิก และก็ถูกเมินเฉย
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-เขมร เที่ยวนี้ แม้ว่ามีการมองกันว่า ความจงใจสร้างสถานการณ์เพื่อ “หวังเบี่ยงเบนความสนใจ” รวมไปถึงกรณีที่ศาลนัดไต่สวนเกี่ยวกับ ชั้น14 ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ขณะเดียวกัน ฝั่งเขมรมีการ “ปลุกกระแสชาตินิยม” เพื่อหวังผลทางการเมืองของรัฐบาล ฮุน มาเนต
แต่ไม่ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน ถือว่าที่ผ่านมาเป็น “เกมที่ทำให้ไทยเสียหาย” ภายใต้การนำของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เวลานี้กลายเป็นเรากำลังเดินตามเกมของเขา ตามไม่ทันเขมรที่ชักใยโดย นายฮุนเซน เวลานี้ฝ่ายรัฐบาลไทยกำลังตามหลังเขมรหลายก้าว
ก่อนหน้านี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำว่า จะมีการเจรจาระดับคณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือ เจบีซี ระหว่างไทย-เขมรที่ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายน นี้ โดยทางฝ่ายเขมรเป็นเจ้าภาพ และย้ำว่าไทยยึดมั่นในสันติวิธี และการเจรจา
อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เพจ The Phnom Penh Post สื่อมวลชนกัมพูชา โพสต์ข้อความว่า กัมพูชาจะไม่เจรจาทาวิภาคีกับไทย เกี่ยวกับพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน
รัฐบาลกัมพูชาชี้แจงว่า เนื่องจากกัมพูชาตั้งใจที่จะนำประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จึงจะไม่นำประเด็นเหล่านี้ไปหารือในการเจรจาทวิภาคีกับไทยในวันที่ 14 มิถุนายน ที่จะถึงนี้
ในแถลงการณ์เดียวกันซึ่งเผยแพร่เมื่อคืนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนแสดงความยับยั้งชั่งใจ และหลีกเลี่ยงความรู้สึกชาตินิยมอย่างโจ่งแจ้ง
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา ระบุว่ากัมพูชาจะยังเป็นเจ้าภาพจัดประชุม JBC กับไทยในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ที่กรุงพนมเปญ แต่จะไม่มีการนำกรณีพิพาทพื้นที่ 4 จุดดังกล่าวเข้าสู่การเจรจา เนื่องจากกำลังเตรียมนำขึ้นฟ้องต่อศาลโลก
อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวานนี้(4 มิ.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทย จะใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่จะประชุมในวันที่ 14 มิถุนายน นี้ เพื่อหาข้อยุติเรื่องเขตแดนกับกัมพูชา
เช่นเดียวกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม ที่บอกว่าได้พูดคุยกับทางกัมพูชา และนายกฯไทยได้คุยกับนายกฯ กัมพูชา ตนก็พูดคุยกับรองนายกฯ กัมพูชา ทุกฝ่ายยอมรับแล้วว่าในวันที่ 14 มิ.ย.68 จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เขตแดนไทย - กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ แต่หากการประชุมในครั้งนี้หาข้อยุติไม่ได้ ก็ต้องดูว่ามีกลไกอะไรอีก
แม้ว่ารัฐบาลเขมร หรือกัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่าจะไม่มีการหารือเรื่องเขตแดนในวันที่ 14 มิถุนายน เนื่องจากได้นำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกแล้ว แต่ล่าสุดในวันเดียวกัน นายภูมิธรรม ก็ยังยืนยันว่า ยังมีการเจรจากันต่อไปโดยเฉพาะในเรื่องเขตแดน “ช่องบก”
หากพิจารณาตามนี้ ถือว่าฝ่ายรัฐบาลไทย ที่ตอนนี้มี นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นแกนนำถือว่าทำหน้าที่ได้ “น่าผิดหวัง” เหมือนกับว่ามี “อะไรอยู่เบื้องหลัง” มีความเกรงใจหรือ “หงอ” ให้อีกฝ่าย ขณะที่ฝ่ายเขมรไปไกลหลายก้าวแล้ว
ขณะเดียวกันหากมองอีกมุมหนึ่ง เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ ในแบบที่รัฐบาลไทย “ไม่กล้าขยับ” เหมือนกับว่า มีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลัง ตกเป็นเบี้ยล่างแบบน่าสงสัย โดยเฉพาะคนอย่าง นายทักษิณ กำลัง “ถูกกุมความลับ” สำคัญบางอย่าง หรือเปล่า
มาถึงตรงนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ภาพของ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังติดลบ จนกู่ไม่กลับแล้ว !!