xs
xsm
sm
md
lg

“อิ๊งค์”เหวี่ยงปมร้อนชายแดน.. "ชินวัตร-ฮุน”ผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อนชาติ!? ** จับตา ปรับครม. “รวมไทยสร้างชาติ” จะมีเซอร์ไพรส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - ทักษิณ ชุนวัตร – ฮุน เซน
ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ “อิ๊งค์”เหวี่ยงปมร้อนชายแดน.. "ชินวัตร-ฮุน”ผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อนชาติ!?

“นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ มีซีนเหวี่ยงใส่นักข่าวระหว่างถามจี้ปมร้อนระอุชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ท่าทีรัฐบาลไทย "นิ่งเฉย" จนน่าสงสัย ทั้งที่ควรจะปกป้องอธิปไตยของชาติให้ถึงที่สุด!

ว่ากันว่าเบื้องหลังความเงียบงันนี้ ไม่ใช่เรื่อง "สันติวิธี" อย่างที่ “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร ว่า

หรือวลีที่ดูเหมือนจะดุดัน ที่ว่า “แม้เป็นเพื่อนกัน ก็คงยอมยกบ้านให้ไม่ได้” แต่ดูแล้วน่าจะเป็นวาทศิลป์ชวนให้ดูน่ารักน่าหยิก เสียมากกว่า

แต่เพราะสายสัมพันธ์ระดับเครือญาติ ระหว่างสองตระกูล “ชินวัตร" กับ "ฮุน เซน" ผู้นำเขมร และด้วยความสนิทสนมกันเหมือน "พี่น้องร่วมสาบาน" ระหว่าง "ตัวพ่อ”นายกฯ ของสองประเทศ สองตระกูล “ทักษิณ ชินวัตร" กับ "ฮุน เซน" ใช่หรือเปล่า?

นี่ต่างหากที่ประชาชนคนไทยตั้งข้อสงสัย ที่มาของความเฉยเมยของรัฐบาลต่อการรุกคืบของกัมพูชา ที่ไม่ได้แปลว่า “สันติวิธี” และ ประเด็นสำคัญ “ทักษิณ-ฮุนเซน” กำลังบั่นทอนอำนาจอธิปไตยของไทย หรือไม่ ?

แพทองธาร ชินวัตร
ระหว่าง "ทักษิณ" และ "ฮุน เซน" คบหากันมานานกว่า 30 ปีมาแล้ว ก็ตั้งแต่ปี 2535 ก่อนที่ทักษิณจะเป็นนายกฯ
ตอนที่ "ทักษิณ" ถูกรัฐประหารโค่นล้มอำนาจช่วงปี 2549 "ฮุน เซน" แสดงความใจถึงพึ่งได้ ให้น้ำใจกับทักษิณ แถมสนับสนุนอย่างเปิดเผย ปฏิเสธคำขอส่งตัว "ทักษิณ" กลับไทยมาแล้ว!

จากนั้น ทั้งคู่ยังคงเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย ตัวอย่างเช่น “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” พากันไปเป็นแขกร่วมงาน ‘เบิร์ธเดย์’ ฮุนเซน ที่พนมเปญ หรือ การที่ "ฮุน เซน" มาเยี่ยม "ทักษิณ" ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า หลังได้รับการพักโทษ สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์นี้ยังคงดูดดื่มเรื่อยมา

ทักษิณ ชินวัตร
“ทักษิณ-ฮุนเซน” ยังสนับสนุนกันและกันอีกหลายเรื่อง ตอนน้องสาวสุดเลิฟ “ปู- ยิ่งลักษณ์” หนีคดีก็ออกช่องทางธรรมชาติไปขึ้นเครื่องที่เขมร บรรดาแกนนำตัวตึงคนเสื้อแดงที่หลบหนีคดีก็เป็นฮุนเซนให้แหล่งที่พักพิงดูแล

ประสาอะไรก็ผลประโยชน์ทางธุรกิจของสองตระกูล “ชินวัตร-ฮุนเซน” ระหว่างทาง 30 ปี ที่คบหากันย่อมมีอะไรต่อมิอะไรที่ปิดๆบังๆ ไม่ให้ใครรู้

รวมไปถึง “คิดใหญ่” และจะ “เล่นใหญ่” เตรียมขุดขุมทรัพย์พลังงานใต้ทะเล แหล่งก๊าชธรรมชาติ ในพื้นที่ทับซ้อน พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งในรัฐบาลตระกูลชิน และนอมินี

“ทักษิณ” ตอนที่กลับมาไทย หลังหนีคุกไป 17 ปี บอกอยากจะอยู่เฉยๆ เลี้ยงหลาน วันนี้ลูกสาวเป็นนายกฯ ตัวเองก็บงการเกมการเมืองทั้งออกหน้า และลับหลัง

ฮุน เซน
“ฮุน เซน” ในวัย 72 ปี ที่ควบตำแหน่งประธานวุฒิสภา และประธานองคมนตรี ก็ยังไม่มีทีท่าจะวางมือจากการสั่งการกำกับรัฐบาลลูก “ฮุน มาเน็ต”เช่นกัน

และ…นี่คือสิ่งที่ทำให้คนไทยจำนวนมากเกิดคำถามว่า "ผลประโยชน์ของชาติ" กำลังถูกแลกเปลี่ยนกับ "ผลประโยชน์ส่วนตน" ของสองคนนี้ หรือไม่ ?

เพราะฉะนั้น ท่าที "นิ่งเฉย" ของรัฐบาลมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเช้าวานนี้ (4มิ.ย.) ที่เพิ่งจะมีการออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน หลักใหญ่ใจความดูเหมือนจะเป็นการ "แก้เกี้ยว" หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาชนบนโลกออนไลน์ หรือไม่ ?

คำถามคือ ทำไมถึงเพิ่งจะออกมาเคลื่อนไหว ทั้งที่ปัญหาปะทุมาพักใหญ่แล้ว? นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ "สันติวิธี" หรือ "การค้า" ข้ออ้างที่ไม่ปิดพรมแดน แต่เป็นเรื่องของ "ศักดิ์ศรี และอธิปไตยของชาติ" ที่รัฐบาลควรจะปกป้องอย่างเด็ดขาด!

ฮุน มาเนต
นายกอิ๊งค์หงุดหงิดนักข่าว ที่ถามเรื่องนี้ แต่ลองไถฟีดเสียงจากประชาชนบนโลกออนไลน์ดูสักนิด ก็จะรู้ว่ามีเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า "สันติวิธี" ควรใช้กับคนที่รู้จักและเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กับคนที่พยายาม "ทำตัวนักเลงอยากได้ที่ของคนอื่น" แบบเพื่อนพ่อฮุนเซน!

หรือที่เป็นไวรัล บนโลกออนไลน์ คนแห่แหนเข้าไปกดไลค์กดแชร์ มืดฟ้ามัวดินเมื่อวันก่อนต่อเนื่องมาถึงวันนี้ ก็ที่ “ ทนายเกิดผล แก้วเกิด” ทนายชื่อดัง โพสต์ข้อความแสดงจุดยืนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า...

“ผมไม่ได้บ้าสงคราม หรือ นิยมความรุนแรง หรือชื่นชอบการปฏิวัติ แต่ถ้าจะเสียดินแดนให้ต่างชาติ ผมก็เลือกปฏิวัติดีกว่า”
สรุปว่า การที่รัฐบาลเลือกที่จะ "นิ่งเฉย" หรือ "รอ" โดยไม่ใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ทำให้เกิดความกังวล ยิ่งตอกย้ำว่า เบื้องหลังความนิ่งเฉยนี้ “ทักษิณ-ฮุนเซน” มี"ผลประโยชน์ส่วนตัว"ร่วมกันครอบงำ"ผลประโยชน์ของชาติ" ไปแล้ว ?

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

สุชาติ ชมกลิ่น
++ จับตา ปรับ ครม. “รวมไทยสร้างชาติ” จะมีเซอร์ไพรส์

หลังปรากฏภาพ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นัดกินข้าวกับสส.พรรคกลุ่มใหญ่ ตามมาด้วย กินกาแฟ กับ กลุ่มสส.ภาคใต้ของพรรค รอยร้าวรอยแยกของพรรครทสช. ก็ถ่างให้เห็นเด่นชัด

“เสี่ยเฮ้ง” พูดแบบไม่อ้อมค้อมว่า อาศัยบ้านเขาอยู่แล้วไม่สบายใจ เตรียมที่หาที่อยู่ใหม่ ซึ่งนั่นก็คือ “พรรคโอกาสใหม่” ของนายทุนคนเดิม

สภาพภายในพรรครทสช. ตอนนี้ก็เลยแบ่งเป็น 2 ขั้ว คือกลุ่มที่สนับสนุน “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค กับ กลุ่มของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค

เมื่อแบ่งข้างกันแล้ว ก็ต้องมีการตอบโต้กันเป็นธรรมดา ข้างฝั่ง “เสี่ยตุ๋ย” กางข้อบังคับพรรคด้านจริยธรรม ออกมาขู่ ว่า หากสมาชิกพรรคคนใดไปฝักใฝ่กับพรรคการเมืองอื่น ก็สามารถขับพ้นจากสมาชิกภาพได้

หมายถึงเมื่อหมดสมาชิกภาพ ก็สิ้นความเป็น สส. ไม่ใช่ ขับสส.ออกจากพรรคให้ไปหาพรรคใหม่สังกัด

ขณะที่ “แรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ก่อตั้งพรรคก็ออกมาประกาศไล่ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ พ้นหัวหน้าพรรค อ้างว่า สร้างความแตกแยก เลือกที่รักมักที่ชัง สมาชิกขาดความอบอุ่น ทำให้พรรคเสียหาย ตกต่ำ

พรรค รทสช. ที่มีจำนวนสส. 36 คน ว่ากันว่า โอนเอียงไปซบ “เสี่ยเฮ้ง” ประมาณ 26-27 คน ไม่เว้นแม้แต่ สส.ในกลุ่มของ “เสี่ยขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรค ก็ไหวหวั่นปันใจ ไปบางแสนดินแดนสุขีด้วย

ถ้าเป็นเช่นนี้จริง โอกาสที่กลุ่ม “เสี่ยเฮ้ง” จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของพรรคในอนาคต ก็มีความเป็นไปได้สูง

มีกระแสข่าวว่า อันดับแรก ในช่วงที่กำลังจะมีการปรับครม.ครั้งนี้ หาก “เสี่ยตุ๋ย” ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และ ไม่ยอมส่งชื่อรัฐมนตรี ตามที่กลุ่มเสี่ยเฮ้ง เสนอ ก็เป็นไปได้ว่าจะให้ นายทุนพรรค ซึ่งสนิทสนมกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ใครก็รู้ว่าเป็นเจ้าของพรรค และเจ้าของรัฐบาลตามพฤตินัย

ให้เขี่ยพรรครทสช. ไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะในระยะหลังนายทุนพรรคก็ไม่ค่อยปลื้มกับ “เสี่ยตุ๋ย” เท่าไร ... หลังจากนั้นค่อยให้ “พรรคโอกาสใหม่” เสนอชื่อรัฐมนตรีตามโควตาในภายหลัง

 พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
เรียกว่า ใช้ “กล้าธรรมโมเดล” ของผู้กอง ตอนที่แยกออกจากพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” มาเป็นต้นแบบกันเลย สำเร็จเห็นๆ

วาดหวังกันว่า จำนวน สส.ของกลุ่มเสี่ยเฮ้งที่มี จะได้ 3 เก้าอี้ เป็น รัฐมนตรีว่าการ 2 คน คือ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ และ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” อดีต รมว.พลังงาน และ รัฐมนตรีช่วย 1 คน คือ “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์”

สูตรนี้ รัฐบาลก็เสียจำนวนสส.ไป 9-10 คน ซึ่งไม่กระทบอะไร เพราะตอนนี้เสียงเกินกึ่งหนึ่งมาเยอะ

ใครที่คิดว่า การปรับครม.ครั้งนี้ “เสี่ยเฮ้ง” จะโดนยึดเก้าอี้คืน อาจต้องกลับไปคิดใหม่

เรื่องจะให้พรรค รทสช. ไปเป็นฝ่ายค้านในการปรับครม. ครั้งนี้ “เสี่ยขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้แต่บอกว่า มโนกันไปไกลแล้ว
การปรับครม.ในส่วนของพรรค รทสช. จึงร้อนแรง น่าสนใจ มีสีสัน ไม่แพ้การแย่งเก้าอี้ “มท.1” ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับภูมิใจไทย นั่นจึงเป็นที่มาของกระแสข่าว “ปรับใหญ่”

บอกแล้วการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าการจัดสรรปันส่วน จะลงเอยอย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น