รัฐบาลเปิดเวทีกระทรวงคลัง โชว์แผน “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ใช้โมเดลสิงคโปร์ เลือกที่ตั้งใกล้ศูนย์กลางคมนาคม อยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวอื่น เปิดให้เอกชนลงทุน มูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วยคอนเสิร์ตฮอลล์ขนาดใหญ่ ศูนย์แสดงสินค้า โรงแรม-ห้างสินค้าแบรนด์ระดับโลก ท่าเรือสำราญ และกาสิโนที่มีระบบควบคุมเข้มงวด คาดสร้างรายได้เข้ารัฐปีละ 12,000-40,000 ล้านต่อปี ดันจีดีพีโตเพิ่ม 2%
วันนี้ (4มิ.ย.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (วันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 402 ชั้น 4 อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานแถลงข่าว “THAILAND ENTERTAINMENT COMPLEX” โดยมี นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นำเสนอรายละเอียดของโครงการ Thailand Entertainment Complex ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ที่มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้หมุนเวียนมหาศาล และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ Thailand Entertainment Complex มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก ที่สร้างเพื่อคนไทยทุกคน โดยกล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยต้องการเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่มาขับเคลื่อน เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทาง Geopolitics และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระดับโลกที่มีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น หนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือ ภาคการท่องเที่ยว ขณะที่หลายประเทศในโลกเองเริ่มแข่งกันสร้างสร้าง Man-Made Tourist Destination ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อนำมาพัฒนา สร้างกลไกในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ประเทศไทยก็เช่นกัน ทุกวันนี้ไทยต้องการจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างแรงดึงดูดใหม่ ๆ
รัฐบาลจึงได้ใช้โมเดล Thailand Entertainment Complex ในการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในระดับที่เหมาะสม โดยรัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนเป็นอันดับต้น ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้ายกร่างกฎหมาย Entertainment Complex และปัจจุบันได้ส่งไปถึงสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังคงมีเสียงสะท้อน ข้อห่วงใยในหลายมิติ ซึ่งรัฐบาลมีการหารือกับทั้งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการในหลายภาคส่วน และผู้คนอีกจำนวนมาก เป็นการสื่อสารทางตรง และขอทำความเข้าใจว่า Thailand Entertainment Complex ไม่ใช่โครงการแบบครั้งเดียวจบ แต่เป็นการขับเคลื่อน สร้างโอกาสที่สำคัญให้ประเทศไทยในการต่อยอดการท่องเที่ยวในอนาคต โดยรัฐบาลยืนยันว่า ทุกขั้นตอนจะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีกฎหมายรองรับครบถ้วน มีข้อมูลสนับสนุนและมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด
จากนั้น นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอรายละเอียดของโครงการ ว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้อง ‘สร้างโอกาส’ ครั้งใหม่ พัฒนาการท่องเที่ยวที่ทำให้รายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว รัฐบาลจึงเดินหน้าการท่องเที่ยวด้วยการวางเป้าหมายใหม่ ๆ กำหนดยุทธศาสตร์ใหญ่ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบไม่ต้องรอฤดูกาล และเน้นการท่องเที่ยวที่ ‘สร้างขึ้นใหม่’ ไม่ว่าจะเป็นแผนงานการดึงอีเวนต์ระดับโลกเข้ามาในประเทศ เช่น F1, วิจิตรเจ้าพระยา, มหาสงกรานต์ Splash, การแข่งขันรายการวอลเลย์บอลระดับโลก, การท่องเที่ยวที่เน้นการสร้างคุณค่า เช่น การทำ THACCA, 5 Must Do in Thailand, Health & Wellness Tourism และ Man-Made Destination เช่น กระเช้าภูกระดึง, Cruise Terminal และ Entertainment Complex
โดย Entertainment Complex เป็น Man-Made Destination ที่ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ ที่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น คอนเสิร์ตฮอลล์ พื้นที่จัดงาน นิทรรศการระดับโลก และเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงศิลปวัฒนธรรม สร้างรายได้ และยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
โครงการนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ระดับโลกให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยว เช่น สนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่สำหรับคอนเสิร์ตและอีเวนต์ต่าง ๆ งานแสดงสินค้า ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่เปิดโอกาสให้สินค้าไทย สินค้าเกษตร อาหาร และงานฝีมือเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงศูนย์ประชุมนานาชาติระดับใหญ่เพื่อรองรับการจัดงานนิทรรศการระดับโลกอย่างที่จัดในลาสเวกัสหรือลอนดอน โดยยังรวมถึงสวนสนุก พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารระดับมิชลิน และพื้นที่สาธารณะสีเขียวเพื่อจัดกิจกรรม outdoor และท่าเรือยอชต์ ที่รองรับนักท่องเที่ยวระดับบน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล เพิ่มการจ้างงาน และดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งแม้ประเทศไทยจะเริ่มช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ถือเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้จากโมเดลของประเทศต่างๆ และพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทไทย สร้าง “เครื่องยนต์ใหม่” ให้การท่องเที่ยวไทยเติบโต
โดยรองเลขาธิการฯ ได้ยกตัวอย่างข้อมูลรายได้ต่อปีจากสถานบันเทิงครบวงจรปี 2022 ของประเทศเวียดนาม คือ 1.8 แสนล้านบาท/ปี, เกาหลีใต้ 3.2 แสนล้านบาท/ปี, สิงคโปร์ 4.3 แสนล้านบาท/ปี เป็นต้น ข้อมูลตัวเลขจากประเทศเพื่อนบ้านแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
สำหรับพื้นที่ตั้งนั้น นายศึกษิษฎ์กล่าวว่า อยากให้จินตนาการว่าสถานที่ท่องเที่ยวใหม่นี้ต้องขายได้ตลอดทั้งปี ซึ่งเราศึกษาไว้ 3 โมเดล โมเดลแรกเปิดตามที่ต่างๆ ซึ่งการลงทุนจะไม่เกิดขึ้นมากพอ กระจายเกินไป โมเดลที่ 2 ไปตั้งอยู่ที่ไกลๆ ซึ่งอาจทำให้กระจุกอยู่ที่เดียว เราจึงเลือกโมเดลที่ 3 คืออยู่ใกล้แหล่งคมนาคมขนส่งและใกล้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวข้างๆ ด้วย จึงเลือกโมเดลนี้ ซึ่งเป็นโมเดลสิงคโปร์
คาดว่าหากโครงการสำเร็จจะเพิ่มจีดีพีได้ 2% ต่อปี หรือเกือบ 2 แสนล้านบาท จ้างงานนับหมื่นคน เพิ่มรายได้จากภาษี ภาคการท่องเที่ยวก็จะเปลี่ยนไป
นอกจากนี้ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินภาษีจากพี่น้องประชาชน เพราะเป็นการลงทุนโดยเอกชน สำหรับเงินลงทุนขั้นต่ำต้อง 1 แสนล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มจีดีพีในช่วงก่อสร้างได้ 0.2% หลังเปิดบริการก็จะมีการจ้างงาน 9,000-15,000 คน นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 2.2 หมื่นบาท/ทริป จากเดิม 5 หมื่นบาทต่อทริป จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 5-20% จากการเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวช่วง Low Season ขึ้น 13% ทำให้การท่องเที่ยวสม่ำเสมอทั้งปี
รองเลขาธิการฯ ย้ำว่า ‘กาสิโน’ ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าได้ และยืนยันว่า ไม่ใช่ศูนย์การพนันออนไลน์ เป็นการลงทุนในโครงการแลนด์เบสที่มีโครงสร้างพื้นฐานจริง สร้างงานจริง และยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น ไม่ใช่กาสิโนเสรีหรือออนไลน์แต่อย่างใด มีกฎเข้มงวดทั้งการห้ามโฆษณา การอบรมพนักงานเพื่อช่วยสังเกตพฤติกรรมเสี่ยง ตลอดจนการใช้มาตรการแบบองค์รวมทั้งการป้องกัน การบำบัด และการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรายได้จากโครงการ Entertainment Complex จะถูกนำไปสนับสนุนในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น ทุนการศึกษา การพัฒนาเยาวชนในด้านกีฬา ดนตรี และเทคโนโลยี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยรัฐบาลได้กำหนดเกี่ยวกับการใช้รายได้จากโครงการฯ ไว้ใน พ.ร.บ. ฯ อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต่อชุมชน รวมทั้ง รัฐบาลจะเปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะต่างๆ และจะนำเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ให้รัดกุมยิ่งขึ้น
สำหรับการป้องกันฟอกเงินและการควบคุมผู้เข้าใช้ รัฐบาลวางมาตรการที่รัดกุมทุกขั้นตอน เช่น การสแกนใบหน้า และการตรวจสอบบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต การจัดเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้ทุกคน และการตรวจสอบที่มาของเงินตามมาตรฐานสากล โดยผู้ลงทุนต้องผ่านการกำกับดูแลจากหน่วยงานระดับโลก อีกทั้งยังมีระบบตรวจสอบการใช้เงินอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการฟอกเงินโดยสิ้นเชิง พร้อมกำหนดชัดเจนว่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีจะไม่สามารถเข้าใช้บริการในพื้นที่เหล่านี้ได้
โครงการ Entertainment Complex จะทำให้รัฐมีรายได้ประมาณ 12,037-39,427 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นรายได้จากภาษีกิจการอื่นๆ เช่น โรงแรมห้าดาว สวนสนุก 8,773 - 35,093 ล้านบาทต่อปี รายได้จากค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโน 3,700 ล้านบาทต่อปี และรายได้จากกิจการกาสิโน เช่น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ภาษีการเล่นพนัน ขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนั้น ยังส่งเสริมการจ้างงาน และช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ถึง 5–20% ทำให้ประเทศไทยไม่มีช่วง low season อีกต่อไป รายได้จากโครงการนี้จะส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า ตลอดจน SMEs ของไทย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร สปาของไทย ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจโดยรวม เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์เคยทำสำเร็จ
“ประเทศไทยไม่ควรเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอีกต่อไป ท่ามกลางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก รัฐบาลไทยต้องการใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดการลงทุนระดับแสนล้าน และยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศให้ทันกับประเทศอื่น พร้อมนำมาตรฐานสากลมาปรับใช้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการดูแลสังคมอย่างรอบด้าน” นายจุลพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่นายศึกษิษฏ์ กล่าวย้ำว่า การลงทุนในโครงการนี้ไม่ต้องใช้เงินภาษีจากประชาชน เพราะเป็นการลงทุนโดยเอกชน แต่สิ่งที่จะได้คือ จะเกิดรายได้ตั้งแต่ช่วงการก่อสร้างการขายวัสดุก่อสร้าง สินค้าโต๊ะ ตู้ เตียงต่างๆ ผ้าห่ม หมอนต่างๆ ของเมืองไทยจะขายได้ และการจ้างงานทุกอย่างเป็นคนไทย 100% เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่นถึง 13% ทำให้เกิดการท่องเที่ยวสม่ำเสมอทั้งปี อย่างไรก็ตามไทม์ไลน์การลงทุนยังอีกยาวไกล ปัจจุบันเราอยู่ที่จุดเริ่มต้นคือการทำกฎหมายเท่านั้น เฉพาะแผนการทำงานคาดว่าจะกินเวลาราว 3 ปี ทุกนาทีที่เสียไปจึงเท่ากับโอกาสที่ประเทศไทยเสียไป