เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นว่า ไม่ว่ารัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ นายทักษิณ ชินวัตร จะพูดจะแอกชันอย่างไร ชาวบ้านก็เริ่มไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อมั่นกันแล้ว เอาเป็นว่ายิ่งพูดมากก็ยิ่งติดลบแทบทุกเรื่อง ตัวอย่างเวลานี้หากโฟกัสกันเฉพาะเรื่องปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชา ที่คนไทยจำนวนมากมองว่าคนในครอบครัว “ชินวัตร” กับครอบครัว “ฮุนเซน” ที่มีอำนาจทั้งสองประเทศ ล้วนไม่น่าไว้วางใจ และส่อไปในทาง “วาระซ่อนเร้น” แอบแฝงประโยชน์บางอย่าง
หลังเกิดการปะทะกันบริเวณชายแดนที่เรียกว่า “ช่องบก” อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และมีการเผชิญหน้ากัน โดยฝ่ายกัมพูชา ยังอ้างสิทธิ์ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และล่าสุดรัฐบาลกัมพูชา โดยนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี ได้ขออนุมัติจากสภากัมพูชาเตรียมนำเรื่องร้องศาลโลกแล้ว
อย่างไรก็ดี ก็มีเสียงเรียกร้องจากอดีต สว.นายคำนูณ สิทธิสมาน ที่ติดตามเรื่องปัญหาดังกล่าวมานาน เร่งรัดให้ นายกรัฐมนตรี นส.แพทองธาร ชินวัตร อย่ายอมรับเขตอำนาจของศาลโลกอย่างเด็ดขาด และที่ผ่านมา ไทยเราก็ไม่เคยยอมรับศาลโลกดังกล่าวมานานหลายสิบปีแล้ว
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาท่าทีของฝ่ายทหารไทย โดยกองทัพภาคที่ 2 โดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล. สุรนารี ชัดเจนว่าจะไม่ยอมถอนกำลังออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว คือ ทั้งช่องบก ปราสาทตาเมือนธม และสระมรกต โดยเฉพาะปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทยมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ ยอมถอยไม่ได้เป็นอันขาด
อย่างไรก็ดี ท่าทีดังกล่าวของกองทัพภาคที่ 2 ค่อนข้างสวนทางกับฝ่ายรัฐบาล เพราะล่าสุดรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้ย้ำจุดยืนว่า ยึดมั่น ในแนวทางแก้ไขแบบสันติวิธี พยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรง และยึดมั่นในการรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประชาชน ที่ผ่านมาเราได้พยายามแสดงจุดยืนเหล่านี้ และพยายามหาช่องทางในการเจรจา เพื่อหาทางยุติได้อย่างสงบ
ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ประมาท มีการประสานงานกันอย่างทั่วถึง ตลอดเวลากับทางกองทัพ กองทัพภาค ผู้บัญชาการทหารบก กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งที่เราทำขณะนี้ในแง่ของกองทัพ เราเตรียมความพร้อม เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ เท่าที่ตรวจดูในรายละเอียดต่างๆ มีการวางกำลังที่สามารถ ปกป้องอธิปไตยของประเทศ ได้โดยมั่นใจ และกองทัพก็ได้มีการเตรียมการอย่างเหมาะสม ไม่มีความบกพร่อง
“สิ่งสำคัญคือ ขณะนี้กำลังเริ่มต้นการเจรจา โดยยึด MOU 2543 และกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ในการแก้ไขปัญหา”
ขณะที่การปิดด่านชายแดน นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยากทำความเข้าใจ ว่าเราไม่มีการสั่งปิดด่านชายแดน หรือมีการสั่งให้ปิด หรือเปิด และไม่ได้มีความขัดแย้งกันในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องของการปิดด่านชายแดน เป็นอีกหนึ่งมาตรการ ที่จะยกระดับการพูดคุย และตรงบริเวณด่านชายแดน ยังไม่มีเรื่องของการวางกำลัง แต่เราก็ได้มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้ ซึ่งการปิดด่านเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นจริง และต้องเห็นตรงกันทั้ง 3 ฝ่าย ซึ่งขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤต มันจะมีความเห็น และอารมณ์ มีเหตุผลปะปนกันไป แต่ทั้ง 3 หน่วยงาน ก็พูดคุยกันตลอด ถึงแม้ต่างคนจะมีมุมมองที่ต่างกัน เราไม่อาจจะปล่อยให้การยกระดับต่างๆ เป็นไปตามอำเภอใจ แต่ทางถ้าต่างฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นการเจรจา มาถึงขั้นต้องปิดด่านก็ต้องปิดด่าน ยืนยันว่าการตัดสินใจทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง ไปยึดผลประโยชน์ที่เป็นอธิปไตยของชาติอย่างแท้จริง และยึดประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า รัฐบาล ขอให้กองทัพใช้ความอดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังพบว่ากัมพูชา เพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักเข้าพื้นที่ช่องบก เป็นจำนวนมาก ซึ่งพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และล้ำเข้ามาฝ่ายไทยพร้อมหันกระบอกปืนใหญ่เข้าหาฝ่ายไทย โดยทางกองทัพได้แจ้งไปยังรัฐบาล จุดที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเป็นพื้นที่ฝ่ายไทย ทำให้เกิดความไม่สบายใจ จึงขอประกาศปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดแนว เพื่อกดดันและตอบโต้ทางฝ่ายกัมพูชา หากนิ่งเฉย เท่ากับเป็นการยอมรับ
อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลได้ขอให้กองทัพ อย่าพึ่งดำเนินการใดๆ กังวลว่าจะกระทบ การค้าขายตามแนวชายแดน และซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศไทย อีกทั้ง ขณะนี้กำลังจะมีการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee – JBC) ไทย-กัมพูชา
อีกทั้งยังมีรายงานข่าวว่า ก่อนหน้านี้ภายหลังมีกระแสข่าวไทยเตรียมปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และรมว.กลาโหมกัมพูชา ได้โทรศัพท์หานายภูมิธรรม เวชยชัย ร้องขออย่าให้ไทยปิดด่าน นอกจากนี้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ได้ให้นายภูมิธรรมมาพูดคุยกับกองทัพ ในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
แน่นอนว่า ด้วยท่าทีแบบนี้ ย่อมสวนทางกับอารมณ์และความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ ที่มองเห็นว่า รัฐบาลไม่มีท่าที ชัดเจน หรือ “อ่อนข้อ” ให้กับฝ่ายกัมพูชามากเกินไป จนทำให้เริ่มตั้งข้อสังเกตกันอีกว่า รัฐบาลที่ นำโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร และมี “พ่อนายกฯ” คือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีเกินปกติ กับ นายฮุนเซน ซึ่งถือว่า “มีอำนาจตัวจริง” ในกัมพูชา เช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากที่ นายทักษิณได้หลุดพ้นจากการพักโทษและกลับมาพำนักที่บ้าน “จันทร์ส่องหล้า” ก็ปรากฏภาพ นายฮุน เซน เดินทางมาเยี่ยมถึงบ้านเป็นคนแรก
หลังจากนั้น ไม่กี่สัปดาห์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ได้เดินทางไปเยือนกัมพูชา และพบหารือกันทั้ง นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลูกชายนายฮุนเซน และได้พบกับ นายฮุนเซน โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
นอกเหนือจากนี้หากย้อนประวัติแบ็กกราวด์ตามความเป็นจริง ปรากฏว่า ลูกสาวของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของนายทักษิณ ได้แต่งงานกับลูกชายของเครือข่ายอำนาจในกัมพูชาในกลุ่ม นายฮุนเซน มีการ “เกี่ยวดอง” กันอย่างแนบแน่น
ดังนั้น เชื่อว่านับจากนี้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นับวันจะยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสขยายบานปลายออกไปอีก และที่สำคัญก็คือ ปัญหาที่ลุกลามออกไปนั้น เป็นเพราะคนไทยไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลที่ นำโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเพราะความระแวง และไม่เชื่อมั่นในตัวของ “พ่อนายกฯ” คือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีสัมพันธ์ส่วนตัวที่เกี่ยวดองเรื่องผลประโยชน์ เหมือนกับความรู้สึกเวลานี้ที่คนไม่เชื่อมั่น ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้ยาก !!