“มาริษ” ชี้ เป็นสิทธิกัมพูชาฟ้องศาลโลก แต่ไทยก็มีสิทธิตัดสินใจในท่าทีของตนเอง มอบหมายปลัด กต.เรียกประชุมกรมกองที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีอย่างเป็นเอกภาพ ย้ำใช้กลไก JBC หาข้อยุติเรื่องเขตแดน เร่งฝ่ายกัมพูชาจัดประชุม ถ้าไม่พร้อมไทยขอเป้นเจ้าภาพเอง
วันนี้(2 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. (ตามเวลาที่ฝรั่งเศส) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี OECD ในระดับรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
นายมาริษ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง และได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเรียกประชุมกรมกองที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีอย่างเป็นเอกภาพ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่านโยบายหลักคือต้องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี หลีกเลี่ยงการขยายความขัดแย้ง โดยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศที่ควรได้รับการปกป้องด้วยสันติภาพ ไม่ใช่กำลัง
สำหรับมาตรการเตรียมการ นายมาริษ ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งในเชิงกฎหมายและภาพถ่ายต่างๆ เพื่อใช้ในการเจรจาในกรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) โดยย้ำว่ากลไก JBC ถือเป็นเวทีสำคัญในการลดความตึงเครียดและหารือการจัดการเส้นเขตแดนระหว่างสองประเทศ พร้อมระบุว่าประเทศไทยได้ประสานกับกัมพูชาเพื่อขอให้มีการจัดประชุม JBC โดยเร็วที่สุด หากกัมพูชายังไม่พร้อม ประเทศไทยก็พร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมเอง
นอกจากนี้ นายมาริษ เปิดเผยว่าประเทศไทยได้มีส่งหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชากรณีเหตุการณ์ที่ช่องบก เมื่อวันที่ 28 พ.ค.เพื่อยืนยันสิทธิในอธิปไตยและบูรภาพแห่งดินแดนตามหลักกฎหมายสากล โดยย้ำว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นมาตรฐานสากลทุกประการ
นายมาริษ เปิดเผยอีกว่าเมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ จะเรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศเพื่อกำหนดท่าทีอย่างเป็นทางการอีกครั้ง พร้อมย้ำว่าได้ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาและเรียกประชุมออนไลน์กับกระทรวงการต่างประเทศเป็นระยะเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
สำหรับประเด็นการที่กัมพูชาจะนำข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับไทยไปขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) นายมาริษกล่าวว่าเป็นสิทธิของกัมพูชาที่จะดำเนินการได้ตามความต้องการ ขณะเดียวกันก็เป็นสิทธิของไทยที่จะตัดสินใจในท่าทีของตนเอง โดยได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการของไทย เพื่อใช้ในการเจรจาอย่างรอบด้านทั้งในระดับทวิภาคีและในกลไกระหว่างประเทศ