วันนี้(30 พ.ค.)ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติ ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้งและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จนกว่ามีคำตัดสินในคดีที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องขณะนี้
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวอภิปราย โดยสะท้อนมุมมองที่แตกต่างจากญัตติที่เสนอว่า แม้มีเจตนาในการรักษาความน่าเชื่อถือของกระบวนการตรวจสอบคุณธรรมจริยธรรมของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศ แต่การที่วุฒิสภาจะชะลอกระบวนการนี้โดยรวมทั้งหมด ด้วยเหตุว่ามีสมาชิกบางส่วนถูกตั้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการสรรหาวุฒิสภานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม และเสี่ยงต่อการละเว้นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ประเด็นหลักที่ตนอยากจะตั้งคำถามกับทุกท่านในที่นี้ คือ สว.มีหน้าที่อะไร เราเข้ามาเป็น สว.กันเพื่ออะไร จำวันแรกที่ท่านลงสมัครรับเลือก สว.ได้หรือไม่ และขออ่านหน้าที่ของ สว.ให้ทุกท่านฟังอีกครั้ง โดยยกตัวอย่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ข้อ 105 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่า เมื่อมีกรณีที่วุฒิสภาจะต้องพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้วุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนั้น
ดังนั้น วุฒิสภาจึงมีหน้าที่และอำนาจที่จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติฯ หากมีการชะลอหรือหยุดปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว อาจถือเป็นการละเว้นหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดไว้
นอกจากนี้ หากมีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวล่าช้า ย่อมจะทำให้เกิดความเสียหายกับศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญได้ และทำให้สมาชิกวุฒิสภามีความรับผิดตามกฎหมาย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อวุฒิสภาในภาพรวม
"ดิฉันไม่อยากให้ทุกท่านไขว้เขว จะได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดิฉันเห็นว่าการแต่งตั้งองค์กรอิสระ เป็นอำนาจโดยชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ของ สว. เรามาเพื่อทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นกลไกที่ทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ หากการดำเนินงานใดๆ สะดุดลง จะเป็นการส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ถ้าต้องชะลอหรือหยุดไปก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จสิ้นลงเมื่อใด จะต้องรอเป็นเดือน หรือเป็นปี หากเราชะลอการพิจารณาออกไปโดยไม่มีเหตุผลตามกฎหมาย หรือไม่มีคำวินิจฉัยอันถึงที่สุด กรณีนี้อาจถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และสมาชิกวุฒิสภาอาจตกอยู่ในความเสี่ยง"
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ยังกล่าวถึงกรณีข้อกล่าวหาต่อสมาชิกวุฒิสภาบางท่านว่า ยังเป็นเพียงขั้นตอนของการตรวจสอบ ยังไม่มีผลคำวินิจฉัยหรือคำตัดสินใดๆ จึงไม่ควรนำมาสร้างบรรทัดฐานในการระงับการทำหน้าที่ของวุฒิสภาทั้งสภา เพราะนั่นหมายถึง การลดทอนความชอบธรรมของกระบวนการประชาธิปไตยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเอง
"ประเด็นที่คือ สว.เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ยืนยันในอำนาจที่เรามี ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมจันทราแห่งนี้ ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม อิสระ เป็นกลาง ที่สำคัญคือปราศจากอคติอย่างแน่นอน ดิฉันเห็นว่า หากเราต้องการให้การตรวจสอบมีความโปร่งใส ก็สามารถดำเนินไปควบคู่กับการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญได้ โดยให้คณะกรรมาธิการสามัญที่ตั้งขึ้น ดำเนินการกลั่นกรองคุณสมบัติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่ออย่างรอบคอบที่สุด"
ที่สำคัญคือ หากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ มีความเหมาะสมและบริสุทธิ์จริง ก็ไม่ควรต้องรอให้การเมืองหรือข้อกล่าวหา ที่ยังไม่มีผลเป็นทางการ มาชะลอหรือบั่นทอนโอกาสในการทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง
"สว.เราจะต้องไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพล แรงกดดันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือแรงขับเคลื่อนด้วยกระแสสังคม หากเป็นอย่างนั้น กระแสสังคมว่าอย่างไร กระแสสังคมไม่พอใจ เราก็ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่เลยใช่ไหม ดิฉันอยากจะเชิญชวนเพื่อนสมาชิกที่ไม่เห็นด้วย บางครั้งเราต้องทำสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าถูกใจ คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ที่เราได้รับ และทำมันอย่างเต็มที่ ให้สมกับเงินภาษีที่เราได้รับจากประชาชน"
อีกประเด็นคือ การเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาหยุดปฎิบัติหน้าที่ เพราะเป็นเรื่องขัดกันของผลประโยชน์ และจะเกิดความไม่สง่างาม หากแต่งตั้งองค์กรอิสระไปแล้ว แต่การที่เราไม่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่นี่แหละ คือความไม่สง่างาม เราจะตอบคำถามสังคมอย่างไร หากวุฒิสมาชิกที่ถูกเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา แล้วพบว่าไม่มีมูลความจริงหลุดคดี
"อย่าลืมนะคะ ผลของการไต่สวนยังไม่ถึงที่สิ้นสุด แล้วเราจะเอาหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไปเป็นตัวประกันเลยหรือ หากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายแล้วพบว่าไม่มีความผิด เราจะต้องรับผิดชอบกันอย่างไร เวลาไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้ เวลาที่สูญเสียไปเราจะทำกันอย่างไร"
การจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ต่อเมื่อศาลประทับรับฟ้องให้ สว.ที่ถูกกล่าวหา หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่ามีคำสั่งพิพากษานั้น กกต. ก็ยังไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเลย ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ หรือตีตนไปก่อนไข้ เพราะต้องยืนหยัดในหน้าที่ และอำนาจของตัวเอง สาเหตุทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวมา หากเราชะลอการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จะเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ประเทศชาติเสียเวลาเดินหน้าต่อ ไม่ใช่แค่วุฒิสภา หรือฝ่ายนิติบัญญัติที่จะเสียหายเท่านั้น แต่จะลุกลามเป็นลูกโซ่ ไปถึงองค์กรอิสระต่อ กระบวนการถ่วงดุลก็เสียหาย สุดท้าย สิ่งที่วุฒิสภาควรทำในเวลานี้ คือ เดินหน้าทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบอย่างรอบคอบ และยึดหลักนิติธรรม ไม่ใช่ยึดเพียงกระแสหรือข้อกล่าวหาที่ยังไม่มีผลยุติ