สส.ประท้วงกันวุ่น หลัง “สุริยะ” อัด “วิโรจน์” ไร้กาลเทศะ ใช้จินตนาการ อภิปราย ทล.-ทช.ฮั้วประมูล ชี้ผู้รับเหมากำไรน้อยจนไม่มีช่องเงินทอน แจงหลักเกณฑ์ประมูล กรมบัญชีกลางเป็นผู้กำหนด ปัดกีดกัน-เอื้อคนบางกลุ่ม โต้แบ่งตอนโครงการใหญ่ ไม่ได้ช่วยประหยัดงบฯ เสมอไป ด้าน “วิโรจน์” สวนพูดซํ้าจนรู้ใครเขียนโพยให้
วันที่ 29 พ.ค. เวลา 20.45 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายในประเด็นการฮั้วประมูลของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ว่า ตนขอแสดงความเสียใจต่อประชาชน จากการกระทำที่ไม่รู้จักกาลเทศะของนายวิโรจน์ เพราะวาระคือการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 แต่กลับใช้โอกาส อภิปรายเรื่องการฮั้วประมูล ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่อภิปรายในช่วงอภิปรายไว้วางใจ และหากนายวิโรจน์จะพูดถึงกระทรวงคมนาคม ควรพูดถึงงบประมาณที่จัดลงไปตามกรมต่างๆ ไม่เหมาะสมอย่างไร ไปกระจุกที่จังหวัดใดหรือไม่ จะป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่า
นายสุริยะ ยืนยันว่า การจัดทำคำของบประมาณของกระทรวงคมนาคม ตนได้มอบนโยบายให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน และให้สอดคล้องกับนโยบาย ซึ่งในส่วนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ตนได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการประมูลด้วยความสุจริตโปร่งใส และป้องกันการฮั้วประมูลมาโดยตลอด นอกจากนี้ หลักเกณฑ์และขั้นตอนการประมูล กรมบัญชีกลางเป็นผู้กำหนด ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง การคิดราคากลางที่อ้างอิงจากกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงขั้นตอนการ E-bidding ซึ่งก่อนการลงนามสัญญา ต้องได้รับการตรวจสอบจากสำนักงบประมาณด้วย และยังมี พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาของรัฐ พ.ศ.2542 ควบคุมไว้อีกชั้น ดังนั้น เป็นไปไม่ได้เลย ที่หน่วยงานของกระทรวงคมนาคม จะดำเนินการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับเหมาที่มีการฮั้วประมูล
นายสุริยะ กล่าวว่า ประเด็นที่นายวิโรจน์กล่าวหาว่า มีผู้รับเหมาชั้นพิเศษที่มีเพียง 80 ราย จนเกิดการฮั้วประมูล เป็นเสือนอนกิน มีการซุกซ่อนเงินทอนต่างๆ ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะการจัดชั้นผู้รับเหมา ดำเนินการโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ไม่ใช่กระทรวงคมนาคม และเพื่อให้เห็นว่าข้อมูลที่ผู้อภิปรายนํามากล่าวหา ไม่สมเหตุสมผล และบิดเบือนจากข้อเท็จจริง จึงได้ให้กรมทางหลวงตรวจสอบผลประกอบการของผู้รับเหมาชั้นพิเศษแล้ว ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563 ก็พบว่าทั้ง 80 รายมีรายได้รวมกันเกือบ 2 แสนล้านบาท แต่มีกำไรรวมกันเฉลี่ยประมาณปีละพันกว่าล้านบาท คิดเป็น 0.5% ของรายได้ ไม่ได้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นจะเอาเงินทอนที่ไหนมาจ่ายให้กับผู้มีอำนาจ
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ส่วนที่กล่าวหาว่ามีการแบ่งตอนโครงการ เพื่อกีดกันผู้รับเหมาไม่ให้ประกวดราคา เพื่อเอื้อให้กับผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ขอชี้แจงว่า การแบ่งสัญญาโครงการขนาดใหญ่ ต้องพิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็นหลายประการ ทั้งลักษณะของงาน รูปแบบทางวิศวกรรม ความต่อเนื่องของโครงการ ความคุ้มค่า รวมถึงความพร้อมของผู้รับเหมาด้วย ดังนั้น การที่นายวิโรจน์ตั้งข้อสังเกตกับโครงการทางหลวงหมายเลข 118 ว่าควรแบ่งโครงการออกเป็น 3 ตอน เพื่อให้ประหยัดงบประมาณนั้น ท่านคงใช้จินตนาการมากเกินไป จนลืมข้อเท็จจริงว่า การแบ่งงานเพิ่มเป็น 3 ตอน จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมา จนราคากลางของโครงการเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น และจะเป็นภาระต่องบประมาณ และไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าใครจะชนะประมูลด้วยราคาเท่าไหร่ เป็นเพียงจินตนาการของนายวิโรจน์
นายสุริย ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาว่ากรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท คัดค้านการกำหนดสิทธิ์ในการเสนอราคาของผู้รับเหมาชั้น 1 เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาเลื่อนชั้นนั้น นายวิโรจน์พูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะที่จริงเรื่องนี้พิจารณาโดยคณะกรรมการราคากลาง ยืนยันว่ากรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ไม่ได้เป็นผู้คัดค้าน ขอให้ไปดูมติที่ประชุมของคณะกรรมการราคากลาง
นายสุริยะ กล่าวว่า การที่นายวิโรจน์เปรียบเทียบว่า การประมูลราคาให้ต่ำกว่าราคากลาง เป็นการประหยัดงบประมาณนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดมาก เพราะมองมุมเดียว แต่ไม่มองถึงผลเสียที่จะตามมา จึงขอชี้แจงว่า โครงการที่มีการประมูลต่ำกว่าราคากลาง หรือการฟันราคา มักจะมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากราคากลางเหมาะสมกับต้นทุน หากผู้รับเหมาเสนอต่ำกว่าราคากลาง ก็ต้องลดต้นทุนทั้งบุคลากร เครื่องมือ และเครื่องจักร นอกจากจะทำให้รัฐได้ผลงานไม่มีคุณภาพ ยังทำให้การก่อสร้างล่าช้า หรือผู้รับเหมาทิ้งงาน
นายสุริยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม จะทำให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส คุ้มกับภาษีประชาชน และเกิดประโยชน์กับประเทศชาติ
ทำให้ นายวิโรจน์ ขอใช้สิทธิ์พาดพิงทันทีว่า รัฐมนตรีอาจจะไม่ทราบว่า ตนได้ไปสังเกตการในคณะทำงานที่มี รศ.ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งตั้งขึ้นโดยกรมบัญชีกลาง และกรมบัญชีกลาง ก็ได้แจ้งข้อเท็จจริงกับคณะกรรมการธิการว่า มีมติปรับเพดาน ผู้รับเหมา ชั้น 1ก จาก 600 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 67 โดยรายงานว่าถูกคัดค้าน จากกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 4-5 ครั้ง ในครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 67 มีมติชัดเจนเรื่องนี้ แต่ปรากฏว่าในการประชุมครั้งถัดไป วันที่ 17 ธันวาคม 67 ท่านไปสั่งข้าราชการข้างหลังม่าน ให้เตรียมมติคณะทำงานมาดูได้เลย ซึ่งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ไม่ได้คัดค้านแบบที่ท่านว่า แต่ซื้อเวลามาเพื่อประวิงเวลาให้รอศึกษาไปก่อน ซึ่งรศ.ต่อตระกูล ไม่ได้เสียหาย ท่านก็ถาม ทุกคนถามหมดว่า ต้องรอ 2-3 ปี จนสุดท้ายหาข้อสรุปไม่ได้ คณะทำงานจึงส่งให้กับคณะกรรมการราคากลางตัดสินใจ และยังต้องศึกษาต่อรอเวลาไปอีก
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ที่บอกว่ามีคู่รับเหมาทิ้งงานไป ดูในรายละเอียดรายงานการประชุม ผู้แทนสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็บอกว่า ปัญหาของการทิ้งงานอยู่ที่การบริหารสัญญา ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ คือตัวดีที่สุดที่ขอขยายสัญญา และส่งงานล่าช้า ซึ่งท่านเองก็รู้ เพราะท่านได้ไปดูที่ไซต์งาน และที่ล่าช้า ก็เพราะรับงานไว้เยอะจนเกินไป บริหารสภาพคล่องไม่ได้ ท่านไปหยิบเอาตัวอย่างบางตัวอย่างที่ไม่ดีมายก แต่กรมบัญชีกลางนำรายงานสถิติ มาแจ้งต่อคณะทำงานว่า ผู้รับเหมาชั้น 1 และผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
"ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางศ์ ผมรู้เลยว่าใครเป็นคนเขียนโพยให้กับท่าน คณะทำงานใช้ข้อมูลสถิติหลายปีงบประมาณ ท่านไปถามดูได้ ไม่ใช่ว่า นาย ก นาย ข สัมภเวสีจดโพยให้ท่านยังไง ท่านก็อ่านอย่างนั้น อายเขาครับ ท่านรัฐมนตรี อย่าไปหลงเชื่อข้าราชการแบบนั้น" นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สุดท้ายก็ตอบเหมือนกันเป๊ะ การจะแบ่งซื้อแบ่งจ้าง ที่บอกเดี๋ยวราคากลางจะสูงขึ้น ท่านรัฐมนตรีก็เรียนวิศวะแบบตน การประหยัดงบประมาณ ไม่ได้ดูที่ราคากลาง แต่ดูว่าราคาชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเท่าไหร่ ซึ่งสถิติปี 66 ข้อมูลระบุว่า ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ประหยัดงบประมาณได้แค่ 0.4% ขณะที่ผู้รับเหมาชั้น 1ก ประหยัดได้ 17.1% สถิติหลอกกันไม่ได้ ตนไม่ได้ใช้จินตนาการ
"ขอบอกกับท่านตรงนี้ เมื่อเปิดมาปุ๊บ ท่านบอกว่า ผมไม่มีกาลเทศะ ที่จะพูดเรื่องนี้ ในการพิจารณาร่างงบประมาณวาระหนึ่ง ท่านเป็นรัฐมนตรีมาหลายสมัย จุดสำคัญที่สุดของการอภิปรายงบประมาณในวาระที่หนึ่ง ไม่ใช่การจัดงบประมาณ เพราะการจัดงบประมาณเป็นหน้าที่ท่าน แต่หน้าที่ของ สส.ที่มีที่มาของประชาชน คือปกป้องเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่มาจาก หยาดเหงื่อแรงงานของเขาทุกบาททุกสตางค์ ผมเห็นปัญหาการฮั้วประมูล ผมเห็นปัญหาการประหยัดงบประมาณที่แตกต่างกันระหว่าง ผู้รับเหมาชั้นพิเศษกับผู้รับเหมาชั้น 1ก ขนาดนี้ ท่านไม่เห็นตัวเลขหรือ แล้วจะให้ผมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แบบคนที่ชื่อสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คนที่ชื่อวิโรจน์ ลัคนาอดิศร”
ต่อมา นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.จังหวัดมหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่านายวิโรจน์ อภิปรายไม่ตรงกับญัตติและขอให้ประธานสภาควบคุมการประชุมให้เรียบร้อย
นายสุริยะ ยืนยันว่า สำคัญที่สุดต้องดูมติที่ประชุมล่าสุดของคณะกรรมการ ไม่ได้เป็นไปตามที่นายวิโรจน์พูด ส่วนเรื่องที่ตนเองพูดถึงว่าหากใช้โอกาส อภิปราย เรื่องฮั้วประมูล ทำไมถึงไม่ใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำไมถึงผิดกาลเทศะ
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒนกุล สส. พรรคประชาชน ในฐานะวิปฝ่ายค้าน ลุกขึ้นประท้วงว่านายวิโรจน์มีสิทธิ์ โดยใช้สิทธิ์พาดพิง เพราะท่านรัฐมนตรีบอกว่านายวิโรจน์ผิดกาลเทศะ โดยมีการใช้สิทธิ์พาดพิง ซึ่งหากจะบอกว่านายวิโรจน์ อภิปรายตั้งแต่เมื่อวาน หากไม่ตรงกับญัตติ ต้องมีการประท้วงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ซึ่งตอนนี้คือการใช้สิทธิ์พาดพิงที่มีการกล่าวหานายวิโรจน์ให้เสียหาย
จากนั้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ในฐานะประธานในที่ประชุมขณะนั้นได้วินิจฉัย โดยให้นายวิโรจน์ ชี้แจงอีกครั้ง โดยในวิโรจน์ ยืนยันว่า การอภิปรายงบงบประมาณในวาระที่หนึ่ง คือการอภิปรายเพื่อปกป้องภาษีประชาชน ไม่ใช่นำกำไรของผู้รับเหมามาชี้แจงแบบนี้ พร้อมอธิบายว่า ทำไมถึงไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนเองตั้งกระทู้ถามไปแล้ว 2 กระทู้ ท่านยังไม่ตอบจนถึงตอนนี้เลย ไปถามตนเองก่อนว่าทำไมไม่ตอบ
“กาลเทศะของคนที่ชื่อวิโรจน์ ลักขณาดิศร คือการปกป้องเงินภาษีพี่น้องประชาชน ส่วนกาลเทศะของคนที่ชื่อสุริย จึงรุ่งเรืองกิจ จะเอามาปกป้องผลกำไรตอบแทนของผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ก็แล้วแต่คนชื่อสุริยะก็แล้วกัน” นายวิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย