xs
xsm
sm
md
lg

หมอเมธี" สรุปวิธีทำคำตัดสินคดีจริยธรรมแพทยสภาเชิงลึกแต่ไม่ลับ ตัดสินยึดข้อเท็จจริงไม่สนธงในใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรรมการแพทย์สภา สรุปวิธีทำคำตัดสินคดีจริยธรรมแพทย์เชิงลึกแต่ไม่ลับ ตัดสินตามข้อเท็จจริงทางการแพทย์ ไม่สนธงในใจ พร้อมระบุขั้นตอนอนุทุกคณะเหมือนที่ปรึกษา ให้ความเห็นสุดท้าย บอร์ดใหญ่เป็นผู้ตัดสิน

วันนี้ ( 29 พ.ค.) รศ. (พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทย์สภา โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ระบุว่า “ลึกแต่ไม่ลับ (2) พร้อมลงรายละเอียดว่า การประกอบวิชาชีพเวชกรรม จะมีความรับผิดตามกฎหมายมาเกี่ยวข้อง 3 ประเด็น คือ ความรับผิดทางอาญา ความรับผิดทางแพ่ง และ ความรับผิดทางจริยธรรม ความรับผิดทางอาญาและแพ่ง อำนาจอยู่ที่อัยการ และผู้พิพากษา

แพทยสภา มีหน้าที่ความรับผิดชอบในประเด็นเรื่อง "มาตรฐานวิชาชีพ" และ "ความรับผิดทางจริยธรรม" โดยตรง คดีนี้ทำให้เห็นชัดว่า "ทำไมคดีทางการแพทย์ จึงควรต้องทำคำตัดสินโดย แพทยสภา" หลายเรื่องทางการแพทย์เป็นประเด็นที่เกินกว่าจะใช้ดุลพินิจของวิญญูชนทั่วไปมาทำคำตัดสิน

คดีนี้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจขั้นตอนการทำงานของกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภาได้มากที่สุด ต้องขอบคุณสื่อที่ช่วยกันนำเสนอแทนแพทยสภา ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า "ทำไมถึงต้องให้เวลากับกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภา (ที่เป็นระบบไต่สวน) อย่างเหมาะสม" เพราะข้อบังคับว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีจริยธรรม บังคับให้องค์คณะต้องเปิดโอกาสให้สองฝ่ายนำเสนอหลักฐานอย่างเต็มที่ และองค์คณะมีอำนาจสืบค้นข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีทนาย (ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องทางการแพทย์มากเท่าองค์คณะ) เข้ามาวุ่นวายในกระบวนการนี้ 
 
พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม น่าจะเป็นกฎหมายฉบับแรก ๆ (หรืออาจจะแรกสุด) ที่ใช้ "ระบบไต่สวน" ในการค้นหาความจริงและทำคำตัดสิน องค์คณะผู้ไต่สวน คือ อนุจริยธรรม และอนุสอบสวน ทำงานร่วมกับ องค์คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุด ๆ ของราชวิทยาลัยทางการแพทย์หลายแห่ง เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายนำเสนอพยานหลักฐานเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน องค์คณะเองก็มีความรู้เรื่องราวในประเด็นทางการแพทย์อย่างดีมากและน่าจะสูงกว่าคู่ความทั้งสองฝ่าย จึงมีความสามารถในตัวเองที่จะทำความจริงให้ปรากฎโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพยานหลักฐานของคู่ความเพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ทนายความหรือคนนอกมานำเสนอ วิธีนี้จะช่วยอุดช่องว่างในด้านข้อมูลข่าวสารที่อาจเป็นการพ้นวิสัยที่คู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะหามานำเสนอด้วยตนเอง หรือคู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งเจตนาปกปิดไม่นำเสนอ

ปัจจุบัน มีกฎหมายหลายอย่างที่ใช้ "ระบบไต่สวน" แทน "ระบบกล่าวหา" เช่น กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร กฎหมาย เกี่ยวกับคดีเด็กและเยาวชน กฎหมายแรงงาน แต่ระบบไต่สวนของแพทยสภา (ความเห็นส่วนตัว) น่าจะเป็นระบบไต่สวนที่แน่นหนาและมีกระบวนวิธีพิจารณาคดีที่รัดกุมมากที่สุด เพราะเรื่องทางการแพทย์เกี่ยวพันกับความปลอดภัยในชีวิตของคนทั้งประเทศ

คดีนี้ทำให้เห็นว่า กรรมการแพทยสภา ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง ล้วนตระหนักในหน้าที่ของตนเองดี ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่แพทย์ด้วยกันก็ยังตั้งคำถามแรง ๆ ใส่กรรมการแพทยสภาและคณะทำงาน แต่ผู้เกี่ยวข้องยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงไปตามขั้นตอนปกติ
มติของคณะกรรมการแพทยสภาที่เป็นผู้ออกคำสั่งหรือคำตัดสินคดีจริยธรรมหรือมาตรฐานวิชาชีพ มีที่มาจากเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า "เท่านั้น" ดังนั้นกรรมการแพทยสภาทุกคนจะไม่สามารถปักธงไว้ล่วงหน้า จนกว่าจะได้ศึกษาสำนวนและคำสรุปของอนุกรรมการทุกชุดจนถ่องแท้ ก่อนทำการโหวตลงมติ หรือแม้จะมีธง แต่เมื่อมีเอกสารหลักฐานเวชระเบียนผลภาพรังสีต่างๆ วางอยู่ตรงหน้า จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจตามธง เพราะประเด็นทางการแพทย์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่ทุกการตัดสินใจในการรักษา ต้องมีเหตุผลรองรับ เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศ

ทุกเสียงโหวต ล้วนตัดสินใจบน "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" จากเวชระเบียนและจากการไต่สวนที่อนุกรรมการจริยธรรม อนุกรรมการสอบสวน และอนุกลั่นกรอง "ทำการบ้านมาให้ล่วงหน้า" ก่อนชงให้คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ทำคำตัดสิน (ย้ำว่าคณะกรรมการแพทสภาเท่านั้นเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสิน อนุทุกชุดแค่เป็นคณะทำงาน เป็นที่ปรึกษา เท่านั้น) เดือน ๆ หนึ่งมีคดีที่แพทยสภาต้องทำคำตัดสินแบบนี้ไม่ต่ำว่า 30 คดี มากสุดเท่าที่จำได้คือเกือบ60 คดี ทำให้แพทยสภาต้องตั้ง "อนุกรรมการกลั่นกรอง" เข้ามาช่วยงาน

ด้วยเหตุที่ อนุจริยธรรม และอนุสอบสวนล้วนแต่ต้องเป็นแพทย์ ทางแพทยสภาจึงมีมติตั้งอนุกลั่นกรองตามที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับแพทยสภามานับสิบปีแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้คนนอกที่มิใช่แพทย์ เข้ามาช่วยถ่วงดุลและนำเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในคดีแต่ละคดี คล้าย ๆ กับ คณะที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุล (check and balance) ภายในองค์กรเอง "อนุกลั่นกรอง" คดีนี้ทำให้คนนอกได้ทราบว่า มิใช่มีแต่แพทย์เท่านั้นที่ทำคำตัดสินจริยธรรมทางการแพทย์ ยังมีคนนอกที่มิใช่แพทย์ (อนุกรรมการกลั่นกรอง) เข้ามาช่วยให้ความเห็นที่สำคัญในทางกฎหมาย ... to be continued ...ลึกแต่ไม่ลับ (3)


กำลังโหลดความคิดเห็น