เมืองไทย 360 องศา
คงสมใจ นายทักษิณ ชินวัตร กับการปรากฏตัวที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพราะเจตนาที่แท้จริงก็เพื่อต้องการ “สยบข่าวลือ” ว่า “หลบหนี” ไปแล้ว หลังจากที่พบว่าหลายคดีที่ต้องเผชิญอยู่ล้วนเป็นลบ และมีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะต้องกลับเข้าคุกอีกครั้งหนึ่ง
ที่ผ่านมาข่าวการ “หนี” เริ่มหนาหู และเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เพราะเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เขาก็เคยหนีมาแล้ว แต่คราวนี้หากหนีไปจริงๆ ย่อมมีผลกระทบต่อรัฐบาล ลูกสาวตัวเอง คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย ที่จะฟื้นตัวได้ยาก
ดังนั้น จึงต้องรีบปรากฏตัวก่อนที่จะถึงวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเปิดการไต่สวน จากกรณีที่ศาลมีข้อมูลว่า “อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก” ทำให้ศาลต้องมีการไต่สวนใน วันที่ 13 มิถุนายน ดังกล่าว เหมือนกับว่า “ยังไม่หนี”
ประกอบกับที่ผ่านมา มติแพทยสภาได้มีการสอบสวนการรักษาอาการของ นายทักษิณ ชินวัตร จากแพทย์พบว่า มีการ “ทำรายงานเท็จ” จึงมีการสั่งลงโทษพักใบอนุญาต และตักเตือนกันไปแล้ว แม้ว่าผลมติของแพทยสภาดังกล่าว ยังไม่สมบูรณ์ เพราะต้องรอการพิจารณาของ สภานายกพิเศษ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นั่นเอง ว่าจะแย้งหรือ วีโต้หรือไม่
หากให้ทายก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ต้องคัดค้าน รวมไปถึงให้ความเห็นในลักษณะ “ดีสเครดิต”แพทยสภา ทำนองว่า มีการสอบสวนแบบไม่ชอบมาพากล เช่น ใช้เวลาสอบสวนน้อย เปลี่ยนแปลงผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการบ้าง อะไรบ้าง
อย่างไรก็ดี เมื่อโฟกัสเฉพาะ นายทักษิณ ชินวัตร ที่นอกเหนือจากการมาปรากฏตัวดังกล่าวแล้ว เขายังต้องการ “โชว์” ให้เห็นตามนิสัย “ชอบอวด” ทำนองว่าตัวเองนี่แหละ ผู้มี “อำนาจตัวจริง” ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะในวันนั้นมีระดับ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เวลานี้ ยังรักษาการนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึงหัวหน้าหน่วยราชการสำคัญหลายแห่ง ไปรอตอนรับ และร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง
ภาพที่ออกมา จึงไม่ต่างจากการประชุมคณะรัฐมนตรี ฝ่ายปฏิบัติการทางด้านความมั่นคงไม่มีผิด โดย นายกสั่งการ คือ นายทักษิณ นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณากันอีกก็คือ คำพูดของเขา ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด โดยมีการเชื่อมโยง และ “ด่ากราด” สั่งนั่น สั่งนี่ ไม่ต่างจากการมอบนโยบายและการสั่งการจากนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันผลจากคำพูดของเขานั้น เสี่ยงต่อการสร้างปัญหาวุ่นวายตามมาอีกครั้ง
เพราะผลจากนโยบายปราบปรามยาเสพติด ในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่เรียกว่าประสบความสำเร็จ เพราะมีเสียงวิจารณ์ ตำหนิมากมายในเรื่อง “การฆ่าตัดตอน” อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นการฉวยโอกาสกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในคราวเดียวกันด้วย
ที่สำคัญคำพูดครั้งนี้ ยังส่งผลกระทบไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย จากการที่บอกว่าอาจต้องทำสงครามกับ “ว้า” เพื่อขจัดปัญหายาเสพติดที่ข้ามแดนเข้ามา
นายทักษิณ กล่าวว่า สมัยก่อนพ่อค้ารายใหญ่อยู่ในประเทศไทย การผลิตอยู่ต่างประเทศครึ่งหนึ่ง ไทยครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้การผลิตแทบจะ100% อยู่ที่ว้าแดง รู้จุดแล้วแปลว่าเฉยไม่ได้ พ่อค้ารายใหญ่หลบหนีไปอยู่ข้างบ้านหมด แต่ก็ยังมีเครือข่ายในประเทศไทย เจ้าหน้าที่แกล้งไม่รู้เรื่อง หรือไม่อยากรู้เรื่อง วันนี้การแก้ปัญหาต้องประยุกต์จากของเก่ากลับมาเป็นเรื่องใหม่ ทุกหน่วยงานต้องมีใจ
“แหล่งผลิต อยู่ในว้าแดง เขตติดต่อสามเหลี่ยมทองคำ รัฐฉาน วันนี้ผมมีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านค่อนข้างดี เพราะเป็นคนแก่ที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงพยายามไล่ตามความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์ แต่บังเอิญไปไหนไม่ค่อยได้ ดังนั้นถึงเวลาที่เราจะต้องขอความร่วมมืออย่างจริงจังกับประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งผลิตถ้าเมียนมาบอกว่าจัดการไม่ได้ เพราะเป็นชนกลุ่มน้อย เราคงต้องขอจัดการเองมั้ง เพราะมันเป็นศัตรูของเรา มันอยู่ในพื้นที่ไหน ถ้าเขาจัดการไม่ได้ เราต้องขออนุญาต วิธีจัดการของเราก็มีวิธี ที่สากลรับได้ และต้องจัดการเรื่องแหล่งผลิต คิดว่าอีกไม่กี่เดือน 1-2 เดือนนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องไปพบปะกับเพื่อนบ้านทั้งหมด เพื่อผนึกกำลังกันให้ ว้าแดง เลิกผลิตยาเสพติด ถ้าคุณยังผลิต คุณคือศัตรูของประเทศไทย เราไม่ควรมีความปราณีกับศัตรู นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ารัฐบาลจะต้องมีความชัดเจนต้องเกิดขึ้น”
นอกจากนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ยังขู่ยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เนื่องจากเห็นว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่างบประมาณปีละกว่า 7 พันล้าน ทั้งปัญหาภาคใต้ และยาเสพติดทั่วประเทศ
“มีงบประมาณอยู่ปีละ 7พันกว่าล้าน เอาไปใช้งานภาคใต้ 3 พันกว่าล้าน อีก 4 พันกว่าล้าน ใช้ทั่วไป โดยผมมองว่าเที่ยวนี้จะเป็นการพิสูจน์ เพราะมีคนบอกให้ยุบ กอ.รมน. ทิ้ง แต่ผมก็ยังไม่เชื่อว่าจะยุบ หรือไม่ยุบดี ดังนั้น กอ.รมน. จะเป็นคนคิดเอง ว่าควรจะยุบหรือไม่ และในพื้นที่ภาคใต้ และงานยาเสพติด กอ.รมน. ก็จะต้องมีบทบาทอย่างเข้มแข็ง เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคนก็จะฟ้องอีกว่า ช่วยยุบเถอะ เพราะเสียดาย 7,000 กว่าล้าน”
หากได้ฟังคำพูดทั้งหมดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่บอกว่าได้รับเชิญไปแสดงวิสัยทัศน์ และเผยประสบการณ์เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด แต่เท่าที่เห็น มันกลายเป็นว่า ไม่ต่างจากการมอบนโยบาย สั่งการในฐานะนายกรัฐมนตรี มากกว่า ซึ่งเขาไม่มีอำนาจใดๆ
ดังนั้น ภาพที่ออกมาจึงไม่ต่างจากภาพของ นายกรัฐมนตรีที่กำลังสั่งการและมอบนโยบายให้กับรัฐมนตรี และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ตัวเองไม่มีอำนาจใดๆ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็นภาพลบ ที่กดทับ นายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ไม่มีความหมาย ไม่มีความคิด ไม่มีนโยบายใดๆ ที่ออกมาเป็นรูปธรรม และที่สำคัญสังคมภายนอกมองไม่ดีแล้ว ยังเห็นว่านี่คือ “ท่าทีและวิธีการตกยุค” ไปแล้ว แต่แค่อยากโชว์ออฟ เท่านั้น !!