xs
xsm
sm
md
lg

”ครูธัญ“ ซัดการจัดสรรงบ พม. ปี 69 ยังพายเรือในวังวน เน้นรูปแบบเดิมๆ ไม่มีขยับเชิงโครงสร้าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



”ครูธัญ“ ซัดการจัดสรรงบ พม. ปี 69 ยังพายเรือในวังวน เน้นรูปแบบเดิมๆ ไม่มีขยับเชิงโครงสร้าง เพิ่มแค่ 0.34 % ยังไม่ตอบโจทย์ ย้ำการดูแล ต้องไม่ใช่ภาระ แนะต้องกล้าลงทุนเด็ก-ผู้สูงอายุ วางรากฐานสังคมที่มั่นคง

วันนี้ (28 พ.ค. 2568) นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งมีวงเงินรวม 28,150 ล้านบาทว่า แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. จะยืนยันว่ามีการออกแบบเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดของงบประมาณ กลับพบว่าส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบเดิม ไม่มีการขยับเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง

“งบประมาณเพิ่มขึ้นเพียง 95 ล้านบาทจากปีก่อนหน้า คิดเป็น 0.34% เท่านั้น ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับความเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกว่า 70% ของงบยังคงใช้ในลักษณะการอุดหนุนรายบุคคล เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ในขณะที่งบสำหรับการลงทุนเชิงโครงสร้าง เช่น ศูนย์ดูแลผู้สูงวัยระดับชุมชน กลับอยู่เพียง 5.6% และไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย สิ่งนี้สะท้อนว่าเรายังใช้แนวทางเดิมในการรับมือกับโจทย์ใหม่” นายธัญวัจน์ กล่าว

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า ไม่เพียงแต่โครงสร้างงบประมาณที่ไม่สะท้อนการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง แต่ตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่าง ๆ ก็ยังคงใช้เกณฑ์แบบเดิม เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยไม่มีการวัดผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริงอย่างเป็นรูปธรรม และไม่แยกแยะว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่หรือกลุ่มเดิมที่วนกลับมาใช้บริการเดิมอีกครั้ง “นี่คือภาพสะท้อนของระบบที่ยังวนอยู่ในวังวน มากกว่าจะขยายโอกาสไปยังกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึง”

ทั้งนี้ นายธัญวัจน์ ระบุว่า งบของกระทรวง พม. คิดเป็นเพียง 0.75% ของงบประมาณแผ่นดิน หรือ 0.96% ของรายได้สุทธิของรัฐ หากคิดเฉลี่ยต่อหัวประชากร ไทยใช้งบเพียง 427 บาทต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศอื่นที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงหรือสูงกว่า เช่น มาเลเซีย ใช้ 1,320 บาท ชิลี 6,500 บาท ออสเตรเลีย 27,000 บาท เยอรมนี 95,000 บาท และนอร์เวย์สูงถึง 280,000 บาท “ตัวเลขนี้ไม่ได้บอกว่าไทยจน แต่สะท้อนว่าไทย ‘เลือกไม่ลงทุน’ ในสิ่งที่จำเป็นต่ออนาคต”

นายธัญวัจน์ ย้ำว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจและความเท่าเทียม เช่น แคนาดา เกาหลีใต้ หรือสวีเดน ต่างใช้แนวทาง Social Investment ที่มอง ‘การดูแล’ ไม่ใช่แค่ภาระงบประมาณ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เช่น แคนาดาที่เริ่มโครงการ Universal Childcare ระดับชาติในปี 2021 หรือเกาหลีใต้ที่มี Long-Term Care Insurance ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลดภาระครอบครัวในระยะยาว

นายธัญวัจน์ ยกตัวอย่างการใช้หลัก SROI (Social Return on Investment) ในการจ้างพี่เลี้ยงเด็กชุมชนว่า หากรัฐลงทุนเพียง 1.2 ล้านบาท เพื่อจ้างพี่เลี้ยง 20 คน (คนละ 60,000 บาทต่อปี) จะสามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมได้กว่า 4 ล้านบาท จากการที่พ่อแม่กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน เด็กมีพัฒนาการดีขึ้น และเกิดการจ้างงานในท้องถิ่น คิดเป็นผลตอบแทน 3.3 เท่าตัว “นี่คือตัวอย่างของการลงทุนที่คุ้มค่า และจับต้องได้จริง”

นายธัญวัจน์กล่าวว่า หากรัฐบาลยังคงลดงบเด็กลงกว่า 400 ล้านบาท ในขณะที่เพิ่มงบผู้สูงวัยเพื่อการอุดหนุนเฉพาะหน้าเท่านั้น ย่อมสะท้อนว่า ประเทศไทยยังไม่กล้าลงทุนในอนาคต ทั้งที่เด็กคือทุนมนุษย์แห่งวันข้างหน้า และการดูแลผู้สูงอายุผ่านโครงสร้างชุมชน คือการลดภาระระยะยาวของรัฐ

“นี่ไม่ใช่แค่คำถามเรื่องงบประมาณ แต่คือคำถามว่า รัฐไทยมองชีวิตมนุษย์อย่างไร และจะกล้าลงทุนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเมื่อใด” นายธัญวัจน์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น