xs
xsm
sm
md
lg

"อิ๊งค์" ร่ายยาวร่างงบ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน ยึดวินัยคลัง วาง 6 ยุทธศาสตร์ครอบคลุมทุกมิติขับเคลื่อนศก.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกฯ "แพทองธาร" ร่ายยาวร่าง พ.ร.บ. งบฯ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ยึดกรอบวินัยการเงินการคลัง วาง 6 ยุทธศาสตร์ครอบคลุมทุกมิติ หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ มุ่งเป้าประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด


วันนี้ (28 พ.ค.68) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่รัฐสภา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปแถลง หลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. 2569 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,780,600,000,000 บาท (สามล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นหกร้อยล้านบาท) โดยเป็นการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน123,541,060,200 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันห้าร้อยสี่สิบเอ็ดล้านหกหมื่นสองร้อยบาท)เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

ทั้งนี้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ต่อยอดการพัฒนาภาคการผลิตและบริการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ผ่านการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทต่าง ๆและนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา

สำหรับภาวะเศรษฐกิจทั่วไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3 โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง และมีปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนในภาคเกษตร สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 - 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่าเศรษฐกิจในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 - 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 2.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

นอกจากนี้หนี้สาธารณะยังคงค้าง ณ เดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 12,080,809.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทั้งนี้ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 252,124.8 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด

โดยนโยบายการเงิน เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ ด้านภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว คณะกรรมการนโยบายการเงิน จึงมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี ในการประชุมเดือนเมษายน 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไปสำหรับฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 237,045.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2.4 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

สำหรับฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 237,045.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2.4 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้นโยบายการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้งภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุนการฟื้นตัวและส่งเสริมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากรสุทธิ การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมทั้งสิ้น จำนวน 3,061,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 141,000 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,920,600 ล้านบาท และกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 860,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย

นายกรัฐมนตรี ได้แถลงถึง สาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า ร่างงบประมาณดังกล่าว มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,652,301.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70.2 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.3 รายจ่ายลงทุน จำนวน 864,077.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 22.9 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 151,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 โดยรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ที่เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,519.6 ล้านบาท

นายกรัฐมนตรี แถลงด้วยว่าสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่าย จำแนกการนำเสนอตามกลุ่มงบประมาณ และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ดังนี้ 1. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำแนกตาม
กลุ่มงบประมาณ ประกอบด้วย 1.1 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง จำนวน 632,968.8 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 16.7 ของวงเงินงบประมาณ 1.2 งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ จำนวน 1,408,060.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.2 ของวงเงินงบประมาณ
1.3 งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ จำนวน 98,767.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.6 ของวงเงินงบประมาณ จำนวน 9 เรื่อง ได้แก่ 1. ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3. ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 4. เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย 5. บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 6. ป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด 7. พัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต 8. รัฐบาลดิจิทัล 9. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว

1.4 งบประมาณรายจ่ายบุคลากร จำนวน 820,820.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.7 ของวงเงินงบประมาณ 1.5 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน จำนวน 274,576.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของวงเงินงบประมาณ 1.6 งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐจำนวน 421,864.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.2 ของวงเงินงบประมาณ 1.7 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังจำนวน 123,541.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.3 ของวงเงินงบประมาณ

2. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำแนกตาม ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ กำหนดไว้จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ มีรายละเอียด การดำเนินงานที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้ โดยยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านความมั่นคง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 415,327.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาความมั่นคงของประเทศ จำแนกการดำเนินงานสำคัญ 7 ด้าน

1.การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณ 1,475.0 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยมีการสูญเสียและเหตุการณ์รุนแรงลดลงร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ขยายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้ภาษาที่หลากหลาย ระงับยับยั้งการบ่มเพาะทางความคิดที่อาจบิดเบือนจากหลักศาสนาตลอดจนขยายความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศและภาคประชาชน

2.การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ งบประมาณ 5,418.3 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศแนวหน้าในภูมิภาคอาเซียน มีเกียรติภูมิ อำนาจต่อรอง และได้รับการยอมรับในสากล เป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างอำนาจแบบนุ่มนวล ดำเนินการเพื่อสันติภาพตามกรอบสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางทหารกับมิตรประเทศ จัดทำเขตการค้าเสรี และเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในประชาคมโลก

3. การป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด งบประมาณ 5,462.3 ล้านบาท เพื่อให้ปัญหายาเสพติดได้รับการแก้ไข เด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนรู้เท่าทันและปลอดภัยจากยาเสพติด จับกุมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้มีอิทธิพล รวมถึงร่วมมือกับต่างประเทศในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด ตลอดจนให้การช่วยเหลือผู้เสพยาเสพติดที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสร้างการยอมรับและให้โอกาสทางสังคมกับผู้ที่ได้รับการบำบัด สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ

4.การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติงบประมาณ 13,436.1 ล้านบาท เพื่อพิทักษ์รักษาและธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันหลักของชาติ สร้างความผูกพันที่ดีระหว่างสถาบันหลักและประชาชน ความจงรักภักดีและเป็นที่เคารพยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

5. การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงงบประมาณ 23,842.0 ล้านบาท เพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ป้องกันภัยคุกคาม ภัยอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงทางชายแดน ชายฝั่งทะเล โดยเสริมสร้างขีดความสามารถในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มีการก่อสร้างเขื่อนป้องกันการพังทลายของตลิ่งริมแม่น้ำตามชายแดนระหว่างประเทศและพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพื่อป้องกันการสูญเสียดินแดนของประเทศ และมีระบบป้องกันเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ตลอดจนติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทำประมงให้เป็นไปตามกฎหมาย

6. การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติงบประมาณ 26,685.5 ล้านบาท เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในการเตรียมความพร้อมช่วยเหลือ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและภัยพิบัติ โดยพัฒนาระบบเตือนภัยให้รองรับและครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ ระบบพยากรณ์เตือนภัยล่วงหน้า และฝึกอบรมบุคลากรให้มีทักษะและสมรรถนะในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ตลิ่งริมแม่น้ำภายในประเทศ ด้วยเขื่อนป้องกันตลิ่งความยาวไม่น้อยกว่า 261,600 เมตร

7. การรักษาความสงบภายในประเทศ การพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติงบประมาณ 92,519.9 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความยุติธรรมและบริการประชาชน รวมถึงส่งเสริมให้หน่วยงานด้านความมั่นคงมีความพร้อมที่จะเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบ พัฒนาระบบงานข่าวกรองและขีดความสามารถของกองทัพด้านการพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร

8. การดำเนินงานภารกิจพื้นฐานและภารกิจอื่น งบประมาณ 40,621.5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 205,867.3 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคง พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม และจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 394,611.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.5 ของวงเงินงบประมาณ โดยครอบคลุมการส่งเสริมให้เศรษฐกิจ ของประเทศเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน
โดยแบ่งเป็น การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ งบประมาณ 470.1 ล้านบาท เน้นการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม / การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล งบประมาณ 1,555.4 ล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในส่วนของโครงข่ายสื่อสารหลัก และบรอดแบนด์ความเร็วสูงที่มีคุณภาพ มั่นคง / การพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน งบประมาณ 1,935.8 ล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งระบบให้มีความมั่นคง

การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ งบประมาณ 4,044.5 ล้านบาท เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง / การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง แข่งขันได้ งบประมาณ 4,196.0 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถ ให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายตลาด และมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น
การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต งบประมาณ 5,884.2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 4.8 โดยส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการ แห่งอนาคต

การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว งบประมาณ 8,075.1ล้านบาท เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท
การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก งบประมาณ 8,341.1ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุน และ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีเป้าหมายให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่น้อยกว่า 1,00,000ล้านบาท

การพัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ งบประมาณ 11,467.7 ล้านบาท เพื่อกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยีระบบดิจิทัลที่ทันสมัย
การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม งบประมาณ 19,828.3 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อรองรับการต่อยอด
สู่อุตสาหกรรม ทางด้านการพัฒนาบุคลากร และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้สามารถแข่งขันในระดับสากล
การเกษตรสร้างมูลค่า งบประมาณ 35,054.9 ล้านบาทเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพด้านการผลิต ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น

การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ งบประมาณ 211,963.0 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สนับสนุนให้เกิดการขนส่งอย่างต่อเนื่องหลาย รูปแบบ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ บำรุงรักษาและกำกับดูแลการคมนาคมให้มีความ
สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย

การดำเนินงานภารกิจพื้นฐานและภารกิจอื่น งบประมาณ 38,112.9 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 43,682.6 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า โดยยกระดับการพัฒนาทั้งใน ด้านเศรษฐกิจ กำลังคน วัฒนธรรม ประเพณี และทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขยายโอกาสทางการค้าและ การลงทุน โดยมีมูลค่าที่ขอรับการสนับสนุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 1,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตประชาชน

สำหรับยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 605,927.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชน มีความรู้คู่คุณธรรมและคุณภาพชีวิตที่ดี แบ่งเป็น 1.การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม งบประมาณ 3,447.7ล้านบาท
2.การเสริมสร้างศักยภาพการกีฬา งบประมาณ 3,832.7 ล้านบาท 3.การเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี งบประมาณ 71,868.0 ล้านบาท
4.การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การเรียนรู้ และศักยภาพคน ตลอดช่วงชีวิต งบประมาณ 73,531.1 ล้านบาท 5.การดำเนินงานภารกิจพื้นฐานและภารกิจอื่น งบประมาณ 23,533.8 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ429,714.0 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 942,709.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.9 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับ สวัสดิการพื้นฐาน บริการสาธารณะอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ แบ่งเป็น
1.การบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรดิน และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก งบประมาณ 3,930.1 ล้านบาท
2.มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม และการรองรับสังคมสูงวัย งบประมาณ 14,010.8 ล้านบาท
3.การส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการงบประมาณ 26,525.2 ล้านบาท
การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและสังคม งบประมาณ101,641.2 ล้านบาท
4.การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นงบประมาณ 380,144.5 ล้านบาท
5.การสร้างหลักประกันและพลังทางสังคม งบประมาณ 407,119.0 ล้านบาท
6.การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน งบประมาณ 665.6 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 8,672.8 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 147,216.9 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 3.9 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู
และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจภาคทะเล ส่งเสริมการรับมือกับภัยธรรมชาติ การจัดการมลพิษและสุขภาพประชาชน และการบริหารจัดการ
ผลิตภาพน้ำทั้งระบบ แบ่งเป็น
1.การจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม งบประมาณ 1,144.2 ล้านบาท
2.การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศงบประมาณ 2,368.3 ล้านบาท
3.การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และการสนับสนุนการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งบประมาณ 7,660.9 ล้านบาท
4.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเสริมสร้างประสิทธิภาพ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบประมาณ 107,485.7 ล้านบาท
5.การดำเนินงานภารกิจพื้นฐานและภารกิจอื่น งบประมาณ 10,826.5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 17,731.3 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 605,441.6 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 16.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง โดยเปลี่ยนผ่านไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัลการจัดการปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบ แบ่งเป็น
1.การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ งบประมาณ 961.2 ล้านบาท
2.รัฐบาลดิจิทัล งบประมาณ 6,921.7 ล้านบาท
3.การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม งบประมาณ 17,881.0 ล้านบาท
4.การพัฒนาบริการประชาชนและการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ งบประมาณ 30,296.8 ล้านบาท
5.การสนับสนุนด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ งบประมาณ 408,337.7 ล้านบาท
6.การดำเนินงานภารกิจพื้นฐาน งบประมาณ 25,890.4 ล้านบาท
7.ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 115,152.8 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบงานของภาครัฐและพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินภารกิจของรัฐ

ส่วนรายการค่าดำเนินการภาครัฐ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 669,365.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง แบ่งเป็น แผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน123,960.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นการเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรงภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างรวมทั้งการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลังการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 421,864.4 ล้านบาทเพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาทเพื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นายกรัฐมนตรี ยืนยัน ว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2569 ที่รัฐบาลเสนอในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อน เศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รัฐบาลจึงดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยกำหนดวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทั้งในด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างแท้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น