ทอ.ไทย ส่ง F-16 2 ลำ ประกบเครื่องบิน YAK-130 ทหารเมียน ที่ใช้บินรบทิ้งระเบิดโจมตีกองกำลังกะเหรี่ยง ที่ปิดล้อมไว้ ใกล้ชายแดน อ.พบพระ จ.ตาก ด้านผู้อพยพทะลักเพิ่มเพิ่มเป็น 377 คน
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 พ.ค. 68 ทหารเมียนมาได้ใช้อากาศยานแบบ YAK-130 จำนวน 1 ลำ ทิ้งระเบิด จำนวน 4 ลูก โจมตีกองกำลังปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง( KNLA )บริเวณพื้นที่หน้าสนามกีฬาอเนกประสงค์ บ.ส่งซีเหมี่ยน อ.ซูการี จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สหภาพเมียนมา ด้านตรงข้าม บ.มอเกอร์ไทย ม.1 ต.วาเลย์ อ.พบพระ จ.ตาก ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 1 กิโลเมตร ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ และมีการปะทะเป็นห้วง ๆ
การเหตุการณ์สู้รบส่งผลให้มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภสม.) อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว ในพื้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก จำนวน 3 แห่ง รวม 377 คน รายละเอียดดังนี้
1. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราววัดมอเกอร์ไทย ม.1 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก จำนวน 318 คน
2. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราววัดบ้านหมื่นฤาชัย ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก จำนวน 23 คน
3. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวคริสตจักรบ้านหมื่นฤาชัย ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก จำนวน 36 คน
โดยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กกล.นเรศวร ,ฉก.ตชด.34 ,ร่วมกับฝ่ายปกครอง ,จนท.ตร.สภ.พบพระ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลความปลอดภัย และให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม
ด้านหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร เพิ่มเติมกำลังลาดตระเวน และเฝ้าตรวจในพื้นที่ นำอาวุธยิงสนับสนุนเข้าที่ตั้งตามแผนเผชิญเหตุ เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยของกองกำลังติดอาวุธต่างชาติ และดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน อย่างเต็มกำลังตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตรวจพบเครื่องบินของทหารเมียนมา บินเข้าใกล้พรมแดนไทย กองทัพอากาศ ได้ส่ง F-16MLU จำนวน 2 ลำ ขึ้นบินสกัดกั้น Yak-130 ทันที บริเวณ อ.พบพระ จ.ตาก ในเวลา 13.05 น.
ต่อมา พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.03 น.กองทัพอากาศได้สั่งการให้เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 เครื่อง จากหน่วยบิน กองบิน 4 ปฎิบัติภารกิจการบินป้องกันทางอากาศ วิ่งขึ้นจากสนามบินตาคลี หลังหน่วยควบคุมอากาศยานและแจ้งเตือน ตรวจพบเครื่องบินต้องสงสัยใกล้ชายแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอพบพระ จังหวัดตาก
เครื่องบินต้องสงสัยลำดังกล่าว เป็นอากาศยานสมรรถนะสูงแบบ YAK-130 มีทิศทางบินมุ่งเข้าสู่เขตแดนไทยในระยะใกล้ กองทัพอากาศ จึงสั่งการบินพิสูจน์ทราบและแสดงท่าที่ป้องปราม ตามมาตรการปกติ เพื่อเฝ้าระวังและยืนยันสถานการณ์
จากการติดตาม พบว่าเครื่องบินดังกล่าวได้เปลี่ยนทิศทางและออกจากเขตใกล้ชายแดนไทยในเวลา 13.16 น. โดยไม่แสดงพฤติกรรมรุกรานหรือมีเจตนาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด
“กองทัพอากาศ ขอยืนยันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจปกติในการเฝ้าระวังป้องกันน่านฟ้า ซึ่งกองทัพอากาศดำเนินการอย่างเข้มแข็งและสม่ำเสมอ เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ สร้างความปลอดภัย และความมั่นใจให้แก่ประชาชน” โฆษกกองทัพอากาศกล่าว
ทั้งนี้ ได้มีการประสานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้าหากมีข้อมูลเพิ่มเติม