กมธ.คลัง วุฒิสภา แนะรัฐบาลรัดเข็มขัดการใช้เงิน หลังสรรพากร-สรรพสามิต-ศุลกากร ให้ข้อมูลคาดจัดเก็บรายได้พลาดเป้า รวมแสนล้านบาท ชมการถอยดิจิทัลวอลเล็ตว่าเป็นสุภาพบุรุษ
น.ส.ชญาน์นันท์ ติยะตระการชัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านการคลัง ใน กมธ.การเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา แถลงเรียกร้องรัฐบาลเตรียมการให้รอบคอบต่อแผนการรัดเข็มขัดที่เกิดจากการจัดเก็บรายได้ที่ลดลง ทั้งนี้ จากการติดตามการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่ง อนุ กมธ.ได้เชิญ 3 หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ คือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เข้าชี้แจงต่อ อนุ กมธ.เมื่อ 22 พ.ค. พบข้อมูลที่น่าตกใจ และเป็นกังวล คือ การประมาณการการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐ ที่มีแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่ต่ำกว่าเป้าหมายรวมกันมากถึงแสนล้านบาท แม้ว่ารัฐบาลจะมีรายได้จากทางอื่น เช่น รัฐวิสาหกิจที่ต้องนำส่งเงิน แต่จากการพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น สภาพคล่องของครัวเรือนมีปัญหา ราคาสินค้าเกษตรกรตกต่ำ มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และค่าใช้จ่ายในส่วนของการประกันราคาพืชผลเกษตรกร จึงเป็นสัญญาณอันตราย
“การจัดทำงบประมาณร่ายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบฯ 2569 เป็นการจัดทำในช่วง ต.ค. 2567 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยในรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2569 นั้น พบโครงการที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ น้อยมาก ซึ่งอยากเห็นการรัดเข็มขัด รวมถึงการปฏิรูป เปลี่ยน แก้ และปรับ เช่น ในปี 2568 ถึงปี 2570 ใช้แทนกันได้ ส่วนงบประมาณที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น อาจจะอยู่ในส่วนของงบกลาง ซึ่งยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน นอกจากนั้นแล้ว ในการดำเนินโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่ชะลอออกไป ถือเป็นการแสดงสปีริตของรัฐบาล ที่แสดงความเป็นสุภาพบุรุษเพราะยอมถอย และปรับตามงบประมาณที่จำเป็น” น.ส.ชญาน์นันท์ กล่าว
ทางด้าน นายศรายุทธ ยิ้มยวน กมธ.เศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา กล่าวว่า ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมและตรวจสอบได้ และในแง่ของการลงทุนต่างๆ ควรต้องปฏิรูป โดยเฉพาะการสร้างตึกขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณ สูงถึง 100-1,000 ล้านบาท ควรพิจารณาในแง่ความจำเป็น เช่น การสร้างเรือนจำเพิ่มในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ตนมองว่าควรชะลอ และใช้วิธีบริหารจัดการ หากมีผู้ต้องขังในพื้นที่ภาคอีสานเพิ่มแต่เรือนจำรองรับไม่ได้ ควรย้ายไปให้จองจำพื้นที่ภาคอื่น เช่น ภาคเหนือ ภาคใต้ ที่สามารถรองรับจำนวนนักโทษได้ เป็นต้น