ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ทวงความถูกต้องให้กับคนไทย” หัวใจหลัก พา “จตุพร” พบ “สนธิ”
ภาพที่หลายคนอาจไม่นึกว่าจะได้เห็น เมื่อ “ตู่ - จตุพร พรหมพันธุ์” ขึ้นเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อบ่าย วานนี้( 25 พ.ค.) โดยมี “สนธิ ลิ้มทองกุล” สวมกอดต้อนรับ
ก็ด้วยว่าก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ต่างมีจุดยืนทางการเมืองอยู่คนละขั้วแบบตรงกันข้าม เหมือนบวกกับลบ เหนือกับใต้
“สนธิ ลิ้มทองกุล” นั้นเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำมวลชนออกมาชุมนุมขับไล่ “ทักษิณ ชินวัตร” ส่งผลถึงขั้นต้องระเหเร่ร่อนไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศถึง 17 ปี
ขณะที่ “ตู่-จตุพร” เป็นแกนนำ“คนเสื้อแดง” ระดับบนสุด ในตำแหน่งประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. พามวลชนอีกฝ่ายออกมาชุมนุมเพื่อปกป้อง “ทักษิณ ชินวัตร” แบบยอมตายถวายชีวิต
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อสัจจธรรมหลายอย่างปรากฏ “ตู่-จตุพร” ได้ตาสว่าง เห็นความจริงว่า “ทักษิณ ชินวัตร” คนที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนั้น เป็นของปลอม!
ส่วนเส้นทางที่นำพา “จตุพร พรหมพันธุ์” ได้พบกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” นั้น ก็เริ่มจากการพบเจอกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างก็ถูกจองจำ เมื่อราว 7 ปีก่อน
“คุณจตุพร อยู่ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ ผมอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ พอเจอกันแล้วเนี่ย วันนั้นเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ก็พูดคุยกันเหมือนคนปกติธรรมดา และก็คนที่รักชาติรักบ้านเมืองเหมือนกัน แต่เผอิญวันนั้นผมสัมผัสคุณจตุพรได้พอสมควรว่า คุณจตุพรที่อยู่ในคุก เจอผมนั้นไม่ใช่ จตุพร พรหมพันธุ์ คนเก่า กลายเป็นคนที่มีความขมขื่นเจ็บปวดกับชีวิตของตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองเคยเชื่อมาก่อน” สนธิ กล่าวบนเวทีเมื่อวาน ถึงการได้พูดคุยกับ “ตู่-จตุพร” ครั้งแรกในเรือนจำ
แต่จะว่าไป หากย้อนไปช่วงก่อนที่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะเข้าสู่การเมือง จุดยืนของ“สนธิ ลิ้มทองกุล” และ“จตุพร พรหมพันธุ์” ในเรื่องชาติบ้านเมืองนั้น ก็อยู่บนเส้นเดียวกัน
ในช่วงเหตุการณ์ “พฤษภา 2535” ที่ภาคประชาชนออกมาขับไล่ “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” แกนนำคสช.ที่อ้างว่าเสียสัตย์เพื่อชาติ ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นั้น ทั้ง “สนธิ ลิ้มทองกุล” และ “จตุพร พรหมพันธุ์” ต่างก็มีบทบาทต่อต้านคสช.ด้วยกันทั้งคู่
ในเหตุการณ์พฤษภา 2535 “สนธิ ลิ้มทองกุล” ทำหน้าที่สื่อ ด้วยการสั่งพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” แจกฟรี เพื่อรายงานให้ประชาชนทราบถึงความเคลื่อนไหวการชุมนุม ขณะที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ถูกปิดกั้นด้วยอำนาจเผด็จการขณะนั้น
ส่วน “จตุพร พรหมพันธุ์” ทำหน้าที่เป็นโฆษกเวทีชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน จนกระทั่งถูกสลายการชุมนุม ก็ได้ย้ายเวทีไปปักหลักที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
“ด้วยความสัตย์จริงว่า บรรดาหมู่มิตรก่อนที่เราจะมีเรื่องสีเสื้อเกิดขึ้นกันมานั้น อยู่ในเวทีเดียวกับพฤษภา 2535 ทุกคน แต่จังหวะชีวิตผมเนี่ย เนื่องจากว่าผมนี่ติดตัวมหาจําลอง ไปเข้าพรรคพลังธรรม พล.ต.จําลอง ศรีเมือง ไปเอา ทักษิณ ชินวัตร เข้ามา ผมก็เลยติดพันกับเขาตรงนั้น เรื่องของเรื่องมีอยู่เท่านี้ หมู่มิตรทั้งหมดไม่เคยมีปัญหาใดๆ เป็นการส่วนตัว ยังห่วงหากันเสมอ” จตุพร อธิบายที่มาที่ไปที่ทำให้ต้องออกหากจากหมู่มิตรไปอยู่กับ “ทักษิณ ชินวัตร”
ก็เท่ากับว่าจริงๆ แล้ว “จตุพร พรหมพันธุ์” กับนักเคลื่อนไหวในฟากฝั่งพันธมิตรฯ ของ“สนธิ ลิ้มทองกุล” นั้นก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนมิตร ที่สนิทสนมกันมาแต่เดิม ภาพที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” ขึ้นเวทีประกาศร่วมงานกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
เมื่อวาน “ตู่ จตุพร” พูดชัดเจนว่า การที่“ทักษิณ ชินวัตร” ยอมสารภาพรับผิดในคดีความต่างๆ ตามที่เขียนในฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น คือหลักฐานยืนยันว่า สิ่งที่ฝ่ายต่อต้านทักษิณ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กระทำมาตลอดนั้น ถูกต้อง
“ตู่ จตุพร” ได้ข้อสรุปแล้วว่า ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกดำเนินคดี ไม่ใช่ผลพวงของการยึดอำนาจ หรือผลพวงของการตั้ง คตส. ที่ทักษิณอ้างว่าเป็นปฏิปักษ์มาสอบสวนคดี และไม่ใช่เรื่องของตุลาการภิวัฒน์
จากที่เคยทำหน้าที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน นำมวลชนออกมาปกป้อง “ทักษิณ ชินวัตร” มาวันนี้ “จตุพร พรหมพันธุ์” เปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายต่อต้านทักษิณอย่างเต็มตัว เพราะมองเห็นภยันตรายต่างๆ ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังจะทำกับประเทศไทยซ้ำๆ ผ่านรัฐบาลที่มีลูกสาวเป็นนายกฯ ในขณะที่ประเทศกำลังจะวิกฤต
ทราบมาว่า “จตุพร พรหมพันธุ์” จะร่วมงานกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ในฐานะเป็นสมาชิก“มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง แก้ไขปัญหาให้ประชาชน ซึ่งหวังระบบราชการ หรือนายกฯ ที่แม้แต่อ่านตามสคริปต์ก็ยังผิด คงไม่ได้แล้ว
“ที่ผ่านมา ผมจะอย่างไร ทุกอย่างเป็นเรื่องเล็กทั้งสิ้น เรื่องใหญ่ที่สุดของบ้านเมืองในวันนี้ คือ จะนําพาให้ประเทศไทยเราได้เดินไปในทิศทางหลักที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นชาติบ้านเมืองขึ้นมาได้อย่างไร ต่างหากเล่า…
“พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน ผมเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้นั้น ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่เพราะคําว่า “ทวงความถูกต้องให้กับคนไทย” นั้น เป็นหัวใจหลัก นําพาให้ผมได้มาพบกับ พี่สนธิ ลิ้มทองกุล ในวันนี้”
นั่นเป็นคำพูดของ “จตุพร พรหมพันธุ์” บนเวทีเมื่อวาน ซึ่งน่าจะอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างดีที่สุด
++ สว.สีน้ำเงิน เสียบวาระโหวตรับรอง 3 ป.ป.ช. ช่วงเปิดสภาวิสามัญ ถกงบ 69
การเปิดสมัยประชุมสภาวิสามัญ เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 28-31พ.ค.นี้
ทางรัฐบาลก็จะถือโอกาสรับรองกฎหมายแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้มีการบังคับใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่ง พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ เกี่ยวข้องกับการที่จะให้ ธนาคารพาณิชย์ ภาคเอกชน ร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหาย กรณีมีอาชญากรรมทางไซเบอร์
นอกจากนี้จะมีการ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับเรื่องตั๋วร่วม และ อัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย
ขณะที่วุฒิสภา ที่ตอนนี้ยังมีเรื่องวุ่นๆเกี่ยวกับ “คดีฮั้วสว.” ก็มีวาระสำคัญ “เร่งด่วน” เสียบเข้ามาคือ การรับรอง กรรมการ ป.ป.ช. 3 คนแทนที่ว่าง หลังจาก “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ “วิทยา อาคมพิทักษ์” และ “สุวณา สุวรรณจูฑะ” พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากครบวาระ
แม้ว่า “นันทนา นันทวโรภาส” สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ จะออกมาประกาศล่าชื่อ 20 สว. (1ใน10 ของจำนวนสว.ที่มีอยู่) เพื่อยื่นต่อ “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้สว.ทั้ง 200 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระทั้งกระบวนการ เช่น การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม รวมทั้ง การลงมติให้การรับรองผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหา
ปรากฏว่า ถึงวันนี้ “นันทนา” ยังล่าชื่อได้ไม่ครบ 20 คน ... ต่อให้ล่าชื่อสว.ได้ครบ 20 คน ก็ต้องไปติดอยู่ที่ห้องของ “มงคล สุระสัจจะ”ประธานวุฒิสภาอีก กว่าจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ทันการณ์ เพราะเขาจะโหวตกันในวันที่ 30 พ.ค.นี้แล้ว
ส่วน 3 ว่าที่ กรรมการป.ป.ช. ที่ผ่านด่านคณะกรรมการสรรหา ได้แก่ 1.นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ 2.นายเพียรศักดิ์ สมบัติทอง และ 3. นายประจวบ ตันตินนท์
สำหรับประวัติของ “ประกอบ ลีนะเปสนันท์” ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา อายุ 64 ปี 3 เดือน (นับถึงวันสมัคร)
วุฒิการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) ม.รามคำแหง ปี 2524 , เนติบัณฑิต สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ปี 2524
ประสบการณ์การทำงาน เคยเป็น ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ , รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7, อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7, อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง, ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา, ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และตำแหน่งสุดท้าย ก่อนสมัครกรรมการป.ป.ช. เป็น รองประธานศาลฎีกา
ส่วน “เพียรศักดิ์ สมบัติทอง” อธิบดีอัยการ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ รักษาการในตำแหน่งอธิบดีอัยการภาค 2 อายุ 61 ปี 10 เดือน (นับถึงวันสมัคร)
วุฒิการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิต ม.รามคำแหง ปี 2527 เนติบัณฑิต สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ปี 2528
ประสบการณ์การทำงาน เคยเป็น อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานอัยการภาค 2, รองอธิบดีอัยการ สำนักงานอัยการภาค 2 , อธิบดีอัยการ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ ตำแหน่งสุดท้ายก่อนสมัครกรรมการป.ป.ช. เป็น อธิบดีอัยการภาค 2
ขณะที่ “ประจวบ ตันตินนท์” อดีตผู้บริหารบริษัทมหาชน และผู้สอบบัญชีรับอนุญาต อายุ 65 ปี 6 เดือน (นับถึงวันสมัคร)
วุฒิการศึกษา บัญชีบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) ม.ธรรมศาสตร์ ปี 2528 บัญชีมหาบัณฑิต ม.ธรรมศาสตร์ ปี 2531
ประสบการณ์การทำงาน เคยเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน กรรมการบริหาร และกรรมการ บริษัท ซินเท็คคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) , ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และกรรมการบริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการบริหาร และกรรมการ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน), ผู้อำนวยการยาสูบ การยาสูบแห่งประเทศไทย, กรรมการผู้อำนวยการ และกรรมการ บริษัท ตงฮั้ว โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
ตำแหน่งสุดท้ายก่อนสมัครกรรมการป.ป.ช. เป็น ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต , กรรมการและเหรัญญิก มูลนิธิสายใยแผ่นดิน และ กรรมการอิสระ บริษัท สิริเวช จันทบุรี จำกัด (มหาชน)
ว่าที่ กรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 3 คนจะมี “ดีเอ็นเอสีน้ำเงิน” หรือไม่ ไม่รู้ แต่เมื่อถูกบรรจุเข้ามาในวาระ เป็นเรื่องเร่งด่วนพิเศษ ช่วงเปิดสภาสมัยวิสามัญเช่นนี้ ใครๆ ก็เดาได้ว่าผลโหวตต้องผ่านฉลุย!!