เมืองไทย 360 องศา
ผ่านมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีข้อมูลที่ศาลเห็นว่า “อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก”
โดยศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรให้โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) แจ้งต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์และนายแพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล โดยนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้ ซึ่งหากนับนิ้ววันเวลาก็ถือว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้น
ที่ผ่านมาก็มีรายงานมาแล้วว่า มีการ “ปิดหมายนัด” ของศาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านของ นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อหลายวันก่อน เหลือเพียงแต่รอลุ้นกันว่า ในวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันนัด เขา (จำเลย) จะไปตามนัดหรือไม่ แม้ว่า ก่อนหน้านี้ทนายความส่วนตัวของเขา ได้เปิดเผยล่วงหน้าแล้วว่า นายทักษิณ จะไม่ไปศาล แต่จะส่งเอกสารชี้แจง และมอบหมายทนายความไปแทน ก็ตาม ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ ก็ต้องรอดูวันนั้นก็แล้วกัน
แต่ที่ต้องจับตาก็คือในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน เป็นต้นมา หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งให้มีการไต่สวนหาข้อเท็จจริง หลังจากที่พบว่าอาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก และนัดไต่สวนวันที่ 13 มิถุนายน นับจากนั้น นายทักษิณ ก็หายเงียบไปเลย ไม่มีการแสดงบทบาท “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ออกมาให้เห็นเลย รวมทั้งไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ หรือปรากฏตัวแสดงความเห็นในเรื่องต่างๆ เหมือนก่อนหน้านี้ หรือหลังจากการ “พักโทษ” และพ้นโทษออกมา
ลักษณะไม่ต่างจากการ “กบดาน” เงียบ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ต่างจากการ “ลุ้นระทึก” จนแทบไม่กล้าขยับตัว หรือไม่กล้าหายใจแรงอีกด้วย เพราะสถานการณ์ทุกอย่างเวลานี้ถือว่า “ไม่เป็นใจ” เอาเสียเลย เพราะนับตั้งแต่มติแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์โรงพยาบาลตำรวจฐานทำรายงานเท็จ จากกรณีรักษาอาการที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถือว่าเป็น “ใบเสร็จ” ตอกย้ำความจริงที่สังคมรับรู้กันมาก่อนแล้วว่า นายทักษิณ “ไม่ได้ป่วยวิกฤติ” ที่เป็นข้ออ้าง “ไม่ต้องติดคุก” นั่นคือเป็นสาเหตุให้นำตัวออกมาข้างนอกเรือนจำ นั่นแหละ
เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาแม้ว่าสังคมจะเชื่อว่าเขาไม่ได้ป่วยวิกฤติจริง (วิกฤติถึง 6 เดือน) เพราะมีเรื่อง “ความลับคนไข้” ป้องกันไว้อยู่ แต่เมื่อมติการสอบสวนของแพทยสภาฯออกมาถือว่าได้ทลายกำแพงดังกล่าวทิ้งไปฉับพลัน และยังทำให้นี่คือ “สารตั้งต้น” ที่จะนำไปสู่คดีอื่นๆตามมามากมายเป็นลูกโซ่ ทุกอย่างดูเป็นลบไปหมด
ขณะเดียวกันยังมีข่าวร้ายสำหรับครอบครัวนี้ตามมาซ้ำเติมอีก ล่าสุดศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “น้องสาว” ของ นายทักษิณ ที่กำลังหลบหนีคดีในต่างประเทศ ต้องชดใช้ค่าเสียหายจาก “โครงการจำนำข้าว” เป็นจำนวนเงิน 10,028 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่ามีความประมาทอย่างร้ายแรง คือปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
โดยศาลปกครองสูงสุด อ่านคำพิพากษา คดีที่กระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่สั่งเพิกถอนคำสั่ง กระทรวงการคลังที่ 135/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ เป็นเงิน 35,717,273,028 บาท ในคดีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี ร่วมกันยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร กรณีที่ร่วมกันมีคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้ศาลปกครองชั้นต้องมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว เท่ากับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าว เนื่องจากกระทรวงการคลังยอมรับว่า ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่านางสาวยิ่งลักษณ์เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง และขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วย
ล่าสุด มีรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหาย 10,028 ล้านบาท ซึ่งเป็นร้อยละ 50 ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในฐานะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
ศาลฯ เห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวฯ ไม่ได้ติดตามการระบายอย่างเต็มความสามารถและใกล้ชิด และเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ กขค.เพียงครั้งเดียว และตลอดการดำเนินโครงการมีหนังสือทักท้วง และมีข้อเสนอแนะจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินว่าโครงการมีการทุจริต ขอให้ยกเลิกโครงการดังกล่าว แต่ก็ยังดำเนินโครงการต่อพฤติการณ์ดังกล่าว จึงเห็นได้ว่ายังคงละเว้นเพิกเฉยไม่ติดตามให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลความเสียหายให้ทราบเพื่อป้องกันปัญหาซึ่งโดยวิสัยของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เมื่อได้รับทราบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นก็ควรติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้ดำเนินการจนทำให้เกิดเหตุทุจริตส่งผลให้การระบายข้าวไม่ทัน ต้องนำมาเก็บไว้และเกิดการเน่าเสียพฤติการณ์ของนางสาวยิ่งลักษณ์จึงเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่ต้องรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง
ส่วนกรณีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีนาปรังเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ จึงเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายทางละเมิดในส่วนนี้
จึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 59 ที่สั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จ่ายชดใช้เฉพาะค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เป้นจำนวนเงิน 10,028 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 50 ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนดังกล่าว
นั่นคือความหมายแบบย่อจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่แม้ว่าจะให้ชดใช้ค่าเสียหายลดลงครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเป็นหลัก “หมื่นล้านบาท” ก็ต้องถือว่า “อ่วมอรทัย” และเป็นเรื่องเศร้าสำหรับพวกเขา และจะกลายเป็นการตอกย้ำความล้มเหลว ตอกย้ำการทุจริตที่เกิดขึ้นอย่างมโหฬารกับโครงการดังกล่าวที่ยาวนานกว่าสิบปี
ดังนั้นนี่คือข่าวร้ายของครอบครัวนี้ ที่น้องสาวคือ “ยิ่งลักษณ์” ที่โดนหนักแบบไม่คาดคิด ขณะที่ “พี่ชาย” นาทีนี้เหมือนกับว่า “รับรู้ชะตากรรม” อย่างโดดเดี่ยว เพราะบรรยากาศเวลานี้ช่างต่างกลับเมื่อเกือบยี่สิบก่อน มีเต็มไปด้วยคนเสื้อแดงคอยหนุนหลัง มาวันนี้ทุกอย่างต่างกันราว “ฟ้ากับเหว” !!