เมืองไทย 360 องศา
หากพูดถึงคดี “ฮั้ว สว.” ก็ต้องเข้าใจดีว่า นี่คือ “เกมการเมือง” ระหว่าง “ขั้วสีแดง” กับ “ขั้วสีน้ำเงิน” แม้ว่าทั้งคู่จะจับขั้วเป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ด้วยอำนาจและผลประโยชน์ที่“ยังไม่ลงตัว” หลายเรื่องจนนำมาสู่การฟาดฟันอย่างเข้มข้นขึ้นทุกวัน และเมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีกำลัง มีพรรคการเมืองใหญ่หนุนหลัง จนนำมาสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดดังกล่าว แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง ในมุมของสังคมภายนอกที่จับตามองอยู่กลับนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่า คดีฮั้วสว.ที่เวลานี้เข้าสู่ช่วงชุลมุนที่ดุเดือดเข้มข้น และเริ่มไปไกลเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นในทางคดี และการสอบสวน ที่ลากเอาหลายหน่วยงานเข้ามา เริ่มจากฝ่ายสว.ที่กำลังทยอยเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา กับ กกต. ขณะเดียวกัน ได้เห็นการเคลื่อนไหวไปถึงขั้นยื่นคำร้องให้มีการยุบพรรคภูมิใจไทย ขณะเดียวกันก็มีการประกาศตอบโต้กลับมาว่า จะฟ้องกลับกราวรูดเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ สำหรับการกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมไปถึงให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยคดีออกมา หลังจากมี สว.กลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่า มีการก้าวก่าย แทรกแซงคดี อีกทั้งเห็นว่า ไม่ใช่อำนาจในการสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่าน มาคณะรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้งให้ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ามารักษาราชการการแทนหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นการชั่วคราวแล้ว
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไร เป็นเพียงการรักษาราชการแทน ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อไม่มีรัฐมนตรีมาดูตรงนี้ ก็ให้ไปรักษาราชการแทนเฉพาะในส่วน ดีเอสไอ โดยเข้าไปดูว่าเขามีความจำเป็นอะไรที่จะให้รัฐมนตรีสั่งการหรืออนุมัติ ก็ว่ากันมา
“ผมไม่ได้มาสั่งคดี ไม่ได้มาบอกว่าคดีต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ คดีเป็นเรื่องที่เขาทำกันอยู่แล้วตามอำนาจหน้าที่ของเขา ผมเป็นเพียงรัฐมนตรีที่มาดูแล ดีเอสไอ เขาจำเป็นต้องอนุมัติหรืออนุญาตอะไรก็แจ้งมา ผมก็อนุมัติหรืออนุญาตไปถ้ามีกฎหมายอนุญาตให้ทำ แค่นั้นเอง” นายชูศักดิ์ กล่าว
และที่ต้องบอกว่า เป็นเกมที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ เวลานี้มีคนไปร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้มีการยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยุบพรรคภูมิใจไทย
โดยเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีตผู้สมัครสว. ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อพิจารณาส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ภท. โดยนางกุสุมาลวตี อ้างว่า มีหลักฐานการกระทำความผิดทั้งอั้งยี่ ซ่องโจร และพฤติกรรมทั่วไปของนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการมีการจัดตั้งคนในบุรีรัมย์ และพบเส้นทางการเงิน มีหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จับได้หมดว่าใครโอนเงินไปให้ใครบ้าง โดยจะนำหลักฐานนี้มายื่นให้ภายหลัง เพราะกลัว และเชื่อว่าในทุกองค์กรจะมีฝ่ายเขา ฝ่ายเรา แต่ถ้ากกต.เรียกมาชี้แจงเมื่อไหร่ ก็จะนำหลักฐานเหล่านั้นมามอบให้
“ในส่วนของนายอนุทิน มีหลักฐานว่า เมื่อกระบวนการเลือกสว.เสร็จสิ้นแล้ว ได้เรียกสว.ให้ไปพบที่โรงแรมพูลแมน เพื่อให้เขียนใบลาออก เป็นหลักการว่าคนพวกนี้ต้องอยู่ภายใต้การสั่งการของพรรคภท. และนางสุขสมรวย วันทนียกุล สส.อำนาจเจริญ พรรคภท. ซึ่งมีทั้งภาพขณะ สว.เขียนใบลาออก และคลิปเสียงประกอบ ยืนยันว่า หลักฐานชัดเจน ถ้าไม่ชัดเจนตนก็คงไม่กล้ามาเปิดหน้า แต่ก็จะมีการขอคุ้มครองพยานจากดีเอสไอ และที่พรรคภูมิใจไทย บอกว่าจะฟ้องนั้น เชิญเลย” เธอกล่าว
ส่วนปฏิกิริยาจากพรรคภูมิใจไทย นอกเหนือจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรค รวมไปถึงแกนนำพรรคคนอื่นอีกหลายคน ต่างประเทศทันทีว่า จะฟ้องร้องกลับกราวรูดฐานทำให้พรรคเกิดความเสียหาย
โดยน.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรค ภท. กล่าวว่า พรรคจะใช้ช่องทางกระบวนการยุติธรรม โดยจะให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคดำเนินการฟ้องร้อง วันนี้พรรคต้องออกมาปกป้องตนเอง จากการใส่ร้ายบิดเบือน จากฝ่ายการเมืองผู้ไม่หวังดี ที่ดูเหมือนว่ามีเจตนาพิเศษ จ้องทำลายพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นสถาบันพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และท่านหัวหน้าอนุทิน มีแนวทางการทำงานโดยเน้นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ
“พรรคภูมิใจไทย จึงขอใช้สิทธิดำเนินการทางกฎหมายต่อนางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ร้ายพรรคภูมิใจไทย ให้ถึงที่สุดต่อไป” โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว
นั่นคือภาพคร่าวๆ ที่พอทำให้เห็นภาพว่า การขับเคี่ยวกันระหว่าง “ฝ่ายแดง” ที่มีพรรคเพื่อไทย หนุนหลัง กับ “ฝ่ายน้ำเงิน” ที่มีพรรคภูมิใจไทยอยู่ข้างหลัง แม้ว่าผลสรุปของเรื่อง“คดีฮั้ว” นั้นยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ว่าจะออกมาแบบไหน แต่ภาพที่ปรากฏเวลานี้ กลับทำให้เกิด “ภาพลบ” กลายเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องของอำนาจ และถูกมองว่ายังเชื่อมโยงไปถึงผลประโยชน์อันมิชอบอื่นๆ หลายกรณีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าที่ดินเขากระโดง สนามกอล์ฟเขาใหญ่ ที่ดินอัลไพน์ และลุกลามมาสู่การงัดข้อต่อรองกันทางการเมือง จากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ และล่าสุด ก็กำลังถูกจับตาในกรณีของกฎหมานร่างงบประมาณ ปี 69 ที่กำลังเข้าสภาสมัยวิสามัญในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ดังนั้นกรณีคดี “ฮั้วส.ว.” เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้ว ก็ต้องว่ากันไป และคงต้องใช้เวลาอีกนาน อาจนานกว่า “อายุรัฐบาล” และการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้ แต่ภาพที่ออกมาในตอนนี้ ถือว่า “เละ” กันหมด เชื่อว่าสังคมมองด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ต่างจากประเภท “ถ้าข้าชั่ว เอ็งก็เลว” เหมือนกันนั่นแหละ อะไรประมาณนั้น !!