ศาลปกครองสูงสุดนัดชี้ชะตาคดีจำนำข้าว"ยิ่งลักษณ์"22 พ.ค.นี้ จะยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือกลับคำพิพากษา เผยมีความพยายามดึงเอาคำพิพากษาศาลอาญาในคดีระบายข้าวมาเป็นฐานไล่บี้ความเสียหาย อดีตตลก.ศาลปกครองเตือนสติจรรโลงหลักการกฏหมาย
กำลังเดินมาถึงโค้งสุดท้ายแห่งคดีประวัติศาสตร์โครงการ"รับจำนำข้าว"ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังศาลปกครองสูงสุดได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่อดีตนายกฯ"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ยื่นฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่เรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกว่า 35,000 ล้านบาท จากโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 22 พ.ค.2568 นี้
โดยอดีตนายกฯ"น.ส.ยิ่งลักษณ์"ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ร้องต่อศาลว่า คำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อ้างว่าถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าจงใจปล่อยให้เกิดการทุจริต และไม่ยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว จนนำไปสู่การเรียกชดใช้ความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท ก่อนที่ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษา "เพิกถอน" คำสั่งของกระทรวงการคลังดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2564 รวมถึงยกเลิกการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์และผู้ร่วมฟ้องอีกคนหนึ่งโดยศาลให้เหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า "ยิ่งลักษณ์"เป็นผู้สั่งการให้เกิดความเสียหายโดยตรง หรือมีเจตนาทุจริต อีกทั้งกระบวนการชี้ขาดสัดส่วนความรับผิดร้อยละ 20 ของความเสียหายก็ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินไปยังศาลปกครองสูงสุดให้เป็นผู้ชี้ขาดว่าจะยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือ "กลับคำตัดสิน" ท่ามกลางการลุ้นระทึกของหลายๆฝ่าย เพราะมีความหมายไปถึงอนาคตการเดินทางกลับสู่ "มาตุภูมิ"ของอดีตนายกยิ่งลักษ์ด้วย
อดีตตุลาการศาลปกครองสูงสุด ได้ย้อนรอยคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนของกระทรวงการคลังต่อโครงการรับจำนำนี้ว่า หากทุกฝ่ายจะย้อนกลับไปพิจารณาเนื้อหาและที่มาของการไล่เบี้ยคดีจำนำข้าวนี้จะเห็นได้ว่า ความเสียหายที่คลังยกเมฆขึ้นไล่เบี้ยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ในอดีตนั้น มาจากคำสั่ง"บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา" ที่ให้ดำเนินการเอาผิดกรณีจำนำข้าวอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องสนความยุติธรรมโดยมีการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ตาม ม.44 คุ้มครองการดำเนินการของ "คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดของ "นายกยิ่งลักษณ์" จนนำมาซึ่งสูตรการคำนวณค่าเสียหายสุดพิสดาร
ทั้งนี้ตามหลักการในการคิดความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวในแต่ละปีการผลิต ก็คือ การเอามูลค่าการรับจำนำข้าว หักด้วยความคุ้มค่าและประโยชน์ที่จะได้ต่อเกษตรกรและหักด้วยมูลค่าที่ได้จากการระบายข้าว ผลลัพธ์ก็จะเป็นมูลค่าความเสียหายของโครงการในปีน้ันๆ แต่โครงการนี้กลับไม่เป็นดังนั้น จนก่อให้เกิดปัญหาตามมา
อย่างไรก็ตาม ต่อมามีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชอบค่าเสียหายเฉพาะปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 ส่วนปีการผลิต 2554/2555 และปี 2555 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากเพิ่งรับตำแหน่ง จึงยังไม่ได้มีพฤติการณ์ประมาทอย่างร้ายแรงที่จะต้องรับผิดตาม พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539
ดังนั้นหาก "ตุลาการศาลปกครองสูงสุด" จะมีมติให้นำคดีอาญาที่อดีตนายกฯ"ยิ่งลักษณ์" ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อม 211/2560 ว่า "ละเว้น"การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปล่อยให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์กับพวกทุจริตในการระบายข้าวในปีการผลิต 2554/2555 และ 2555 มาเป็นฐานในการคิดค่าเสียหาย ปัญหาจึงเกิดตามมาว่า ในปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 นั้นมิได้มีการระบายข้าว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีดังกล่าวได้พิพากษาโดยมีข้อเท็จจริงว่า ในภาพรวมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ไม่มีความผิด" แต่มีความผิดเฉพาะส่วนของการปล่อยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว
ซึ่งในทางคดีปกครองนั้น อดีตนายกยิ่งลักษณ์ได้ฟ้องเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังเฉพาะที่ให้ชดใช้ค่าเสียหายในปีการผลิต 2555/56 และ2556/57ที่มีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น จึงเกิดแนวคิดหรือกระแสในการที่จะไล่เบี้ยเอาผิดกับการระบายข้าวในปีการผลิต 2554/55 และ2555 ที่ปรากฎในคำพิพากษาส่วนอาญา แต่ไม่ปรากฏในคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย ของกระทรวงการคลัง
"ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมเกิดปัญหาว่า คำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าวไม่มีการกล่าวหา หรือปรากฎค่าเสียหายในส่วนของการระบายข้าว และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาไปแล้วว่า ในภาพรวมของโครงการ"ยิ่งลักษณ์"ไม่มีความผิดไปแล้ว
แต่หากศาลปกครองสูงสุดจะนำเอาคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว มาเป็นฐานกำหนดค่าเสียหาย ก็อาจขัดหลักการของกฎหมายที่ว่า ศาลจะไม่พิพากษาเกินคำขอในคดีนี้ ที่มีประเด็นพิจารณาค่าเสียหายเฉพาะปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 ที่ไม่มีส่วนของการระบายข้าว และยังเป็นปัญหาว่า จะเป็นการที่ศาลไปก้าวล่วงไปใช้อำนาจทางปกครองแทนหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งๆที่กระทรวงการคลังหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐมิได้ออกคำสั่งให้ชดใช้ในส่วนนี้ไว้หรือไม่"
อดีตตุลาการศาลปกครองสูงสุดยังระบุด้วยว่า โดยหลักนิติธรรมหรือหลักฎหมายมหาชนวางหลักว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐจะใช้อำนาจได้เฉพาะที่กฏหมายบัญญัติให้อำนาจไว้เท่านั้น หาไม่แล้ว ย่อมถูกตราหน้าว่าเป็นการใช้ำนาจในลักษณะเรียกว่า Abuse of Power เอาได้
"คดีนี้ไม่เพียงแต่ประชาชนให้ความสนใจเท่าน้ัน แต่ยังเป็นคดีที่นักกฎหมายทั่วโลกต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า ระหว่างกระแสสังคมกับ หลักกฏหมายสิ่งไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน"
สำหรับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2564 นั้นมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1.การดำเนินโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ลำพังอดีตนายกฯ "ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวได้" และมีอำนาจหน้าที่เพียงการกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไประดับมหภาคของโครงการ มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) "ไม่อาจรับรู้รับทราบข้อมูล การปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบติ"
2.เมื่อมีการทุจริต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง, มีการใช้มาตรการทางอาญากับผู้ทุจริตหรือผู้กระทำผิดควบคู่กับการใช้มาตรการทางปกครองตัดสิทธิผู้สวมสิทธิเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว จึงถือได้ว่าอดีตนายกฯ "มิได้เพิกเฉยละเลย แต่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยและพฤติการณ์เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว"
3.กรณีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหนังสือถึงรัฐบาล เป็นเพียงข้อเสนอแนะนำให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป มิใช่เป็นคำสั่งทางปกครองที่อดีตนายกฯ ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ
4.ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด การกำหนดสัดส่วนให้อดีตนายกฯ รับผิด จึงมิได้เป็นไปตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้ที่รัฐ พ.ศ. 2539 แต่อย่างใด ประกอบกับข้อ 8, 9, 10, 11 และ 17 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539