xs
xsm
sm
md
lg

บอร์ดกระตุ้น ศก.เคาะชะลอแจกเงินหมื่น โยก 1.57 แสน ล.ทำ 6 โครงการ คาดดันจีดีพีได้ 0.7-1%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บอร์ดกระตุ้นศก.เคาะชะลอโครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3-4 ออกไปก่อน โยกวงเงินงบฯ 1.57 แสนล. ทำโครงการ 6 ประเภท เน้นโครงการบริหารจัดการน้ำขนาดเล็ก ดูแลการจ้างงาน ช่วยเหลือ SMEs และผู้ส่งออกหวังกระตุ้นจีดีพีได้ 0.7-1%

วันนี้ (19 พ.ค.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีภาวะผันผวน เนื่องจากมีการประกาศนโยบายภาษีศุลกากร (TARIFF) ตอบโต้ของประเทศมหาอำนาจ ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ทำให้ต้องปรับตัวและหาทางออก

ส่วนตัวได้หารือกับประเทศอาเซียน รวมถึงนายกรัฐมนตรีอินโดนีเซียในเรื่องนี้ ทำให้เห็นว่ามีผลกระทบโดยเฉพาะภาคการส่งออกของไทยที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศ ประกอบกับการจัดเก็บภาษีที่เป็นรายได้ของรัฐบาลคาดว่าต่ำกว่าเป้าหมาย

จึงต้องทบทวนโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล พร้อมเร่งปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs จึงเป็นที่มาของการประชุมในวันนี้ เพื่อร่วมกันคิดและเสนอแผนสถานการณ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขอให้ทุกคนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และขอให้พิจารณากันอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์และปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ระหว่างที่นายกฯ กล่าวกับบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ฝ่ายเลขาฯ คณะกรรมการได้มีการชี้แจงข้อมูลกับที่ประชุม โดยแจ้งว่ากรอบงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 คงเหลืออยู่ประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งต้องปรับให้เข้ากับการใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจ โดยต้องดำเนินการให้ทันภายในปีงบประมาณนี้

หลังจากที่มีการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมงนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมได้มีมติชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน 10,000 บาทโดยจะนำวงเงินที่มีอยู่ที่เดิมเตรียมไว้กระตุ้นเศรษฐกิจในงบประมาณปี 2568 วงเงินประมาณ 1.57 แสนล้านบาท

เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงไป มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากเรื่องของสงครามการค้า และการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้าความเห็นของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการเสนอความเห็นว่าควรมีการทบทวนให้เป็นโครงการใหม่ๆที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เผชิญกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจะมีส่วนช่วยเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.7 – 1.0%

ทั้งนี้โครงการที่จะทำนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินที่ตนเคยบอกจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลงทุนของประเทศที่มีแผนงานอยู่ 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะใช้ในโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันทีก่อน รวมทั้งต้องช่วยพยุงเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน ซึ่งจะให้หน่วยงานนำเสนอโครงการเข้ามาให้กับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการให้พิจารณาในภายในระยะเวลาประมาณ 2- 3 สัปดาห์ และจะมีการพิจารณาโครงการ รวมทั้งติดตามประเมินโครงการด้วย โดยแบ่งออกเป็น 6 โครงการ ได้แก่

1.โครงการเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งมีโครงการที่มีงบประมาณที่ต่อเนื่องไปหลายปีงบประมาณ โดยมีทั้งโครงการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร
2.โครงการคมนาคมที่มีความพร้อมในการลงทุน เช่น โครงการถนน รถไฟทางคู่ หรือการแก้ปัญหาจราจรที่เป็นคอขวดให้การคมนาคมขนส่งมีความสะดวกสบายมากขึ้น
3.โครงการด้านการท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขในส่วนที่เป็นปัญหา และสนับสนุนการท่องเที่ยให้มีการขยายตัวมากขึ้น เช่น โครงการเมืองรอง โครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างโดยมนุษย์ (Man made destination) หรือการปรับปรุงการอำนวยความสะดวกในสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ห้องน้ำ เป็นต้น
4.โครงการที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการส่งออกและเอสเอ็มอี ซึ่งโครงการลักษณะแบบนี้ต้องแก้ไขปัญหาโดยการเตรียมความพร้อมเรื่องของซอฟต์โลนท์ ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการหารือกับ ธปท.และสถาบันการเงินเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา
5.โครงการเพิ่มการจ้างงาน ผ่านการทบทวนโครงการกองทุนหมู่บ้าน เช่น โครงการ SMLs ที่มีการชะลอออกไปก่อนหน้านี้ อาจจัดสรรงบประมาณเข้าไปในส่วนนี้ได้
และ 6.โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัล และการศึกษา เช่น การลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาให้กับเยาวชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศในระยะต่อไป

“วันนี้ยังไม่เห็นตัวโครงการจริงๆ ต้องรอให้หน่วยงานรับงบประมาณเสนอโครงการขึ้นมาให้คณะอนุกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาก่อน โดยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่ดำเนินการในปีหน้า” นายพิชัย กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น