xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณหมดบุญเก่า ตัวช่วยถดถอย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้ถือว่าเขากำลังอยู่ในสถานะที่น่าลำบากมาก หันไปทางไหนเหมือนกับว่า “ไม่เป็นใจ” จนแทบไม่เป็นผลบวกกับเขาเอาเสียเลย และอาการที่ว่าแบบนี้ น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังจากที่ “ลูกสาว” ของเขาคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้การผลักดันจากเขานั่นแหละ ภาวะถดถอยที่ว่านั้นล้วนมาจากการสร้าง “ผลงานไม่น่าประทับใจ” ของ น.ส.แพทองธาร และรัฐบาลภายใต้การอุปถัมภ์ ทำให้พลังในทุกเรื่อง “อ่อนยวบ” ทันตา

อีกทั้งเหมือนกับว่าการขับเคลื่อน หรือ“การเชียร์” ล้วนใช้ “มุกเดิม” ที่ในยุคปัจจุบันแทบจะไม่ได้ผล หรือตกยุคไปแล้ว นั่นเอง และตราบใดที่รัฐบาลชุดนี้ยังไม่อาจแก้ปัญหา“ปากท้อง” ได้อย่างชัดเจน คำว่าพรรคเพื่อไทยเป็นมืออาชีพในเรื่องเศรษฐกิจ นายทักษิณ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ สามารถเสกเงินในกระเป๋าได้ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ก็จะกลายเป็น “ขี้โม้” ในที่สุด เหมือนกับในตอนนี้ที่เสียงเยาะเย้ยเริ่มดังและกดให้เขาเคลื่อนไหวได้ลำบากขึ้น หลังจาก “ทุกเรื่อง” ล้วน ไม่สำเร็จ และทำไม่ได้

ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากความล้วเหลวดังกล่าว ทำให้เขา “เสียเครดิต” ความน่าเชื่อถือว่า เหตุการณ์ วันที่ 8 พฤษภาคม ที่แพทยสภา แถลงผลการสอบสวนด้านจริยธรรมกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอาการของ นายทักษิณ ชินวัตร จนไม่ต้องติดคุกในเรือนจำแม้แต่วันเดียว

ผล “มติเสียงข้างมากๆๆๆ” ของแพทยสภา ตามการแถลงว่า ให้ทำการพักใบประกอบวิชาชีพของแพทย์จำนวนสองคน และ ตักเตือนอีก 1 คน โดยความหมายคือ เป็นการ “รายงานอาการป่วยเป็นเท็จ” ซึ่งแพทย์สองคนดังกล่าวนั้น น่าจะเป็นแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนอีกคนจากโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ นั่นเอง

แม้ว่ายังมีอีกหลายขั้นตอน ตามมาอีกพักใหญ่กว่าที่มติของแพทยสภาดังกล่าวจะมีผลสมบูรณ์ เพราะต้องรอการพิจารณาของสภานายกพิเศษ นั่นคือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเห็นชอบหรือไม่ แต่หากพิจารณากันแล้วถือว่า “ไม่ใช่ประเด็นแล้ว” เพราะการที่แพทยสภา มีมติเสียงข้างมากบอกว่า “แพทย์ทำเอกสารเท็จ” ความหมายคือ นายทักษิณ “ไม่ได้ป่วยขั้นวิกฤต” จึงไม่อาจนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ต้องถูกถูกนำตัวกลับเรือนจำเท่านั้น และยิ่งปิดบังนานถึง 6 เดือนหรือ 180 วัน มันก็ยิ่งชัดเจน

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาทุกคนย่อมรู้ดีกันอยู่แล้วว่า นายทักษิณ ชินวัตร “ไม่ได้ป่วยขั้นวิกฤต” และไม่มีทางที่จะป่วยวิกฤตนานต่อเนื่องถึง 6 เดือน แต่ที่ต้องยืนยันอย่างนั้น ก็เพื่อหาสาเหตุเพื่ออยู่นอกคุก หรือเรือนจำ โดยไม่ต้องติกคุกแม้แต่วันเดียว ซึ่งที่ผ่านมา แม้ว่าสังคมจะรู้ดี เพียงแต่ว่าไม่อาจหาหลักฐานจากการรักษาจากแพทย์ได้ เนื่องจากมีการอ้างเรื่อง “ความลับของคนไข้” แต่การที่ผลการสอบสวนของแพทยสภา ออกมาแบบนี้ ถือว่า “จบแล้ว” และจะนำไปสู่สารตั้งต้น ในเรื่องอื่นที่ตามมาเป็นพรวน

ทั้งเรื่องพิจารณาว่า ทักษิณ ต้องกลับไปติดคุกดังเดิม หลังจากที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือ 1 ปี และตามมาด้วยเรื่อง “ขบวนการช่วยเหลือ” ทั้งข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ที่อาจโดน มาตรา 157 ฐานละเว้น และปฏิบัติหน้าที่มิชอบ พวกนักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรี อาจไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วยก็ได้ที่ช่วยกันปิดบัง ซ่อนเร้น โดยต้องจับตากำหนดวันไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 13 มิถุนายน ว่าจะมีหมายเรียก นายทักษิณ ชินวัตร ไปไต่สวนหาความจริงด้วยหรือไม่ ต้องรอติดตาม แต่ถือว่า “ลุ้นระทึก” อย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ศาลอาญายกคำร้องไม่อนุญาตให้ นายทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศ โดยเขาขอนุญาต เดินทางไปประเทศกาตาร์ ที่อ้างว่ามีคำเชิญจากผู้ปกครองนครรัฐ ในฐานะเป็นประธานกลุ่มที่ปรึกษาของประธานอาเซียน โดยสรุปก็คือ ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ แม้ว่าจะอ้างว่าการไปร่วมงานเลี้ยง และมีโอกาสได้เจอกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และยังอาจได้พูดคุยกันเรื่องภาษีการค้า ระหว่างสหรัฐกับไทยด้วย

ดังนั้น เมื่อมีข้ออ้างแบบนี้ในคำขออนุญาต ทำให้มีคำพูดในเรื่อง “เสียโอกาส” ตามมาทันที ซึ่งหากพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นทันทีว่านี่คือ “การกดดัน” เพราะความหมายเหมือนกับว่า การที่นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้รับอนุญาตได้เดินทางไปกาตาร์ ทำให้ไม่มีโอกาสได้เจอกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ “ไม่มีโอกาสได้เจรจาช่วยไทย” ในเรื่องภาษี ตามแบ็กกราวด์ ที่ปูพื้นกันมาก่อนหน้านี้ ว่า นายทักษิณ มีความใกล้ชิดกับ ทรัมป์ มานาน และ ตัวเขาก็เคยพูดอ้างว่าที่ผ่านมาได้ต่อสายคุยกับคนรอบตัวของ ทรัมป์มาแล้ว

นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนขออนุญาตเดินทางออกจากนอกราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2568 เพื่อเดินทางไปที่ประเทศกาตาร์ตามคำเชิญของผู้ปกครองนครรัฐ ในฐานะเป็นประธานกลุ่มที่ปรึกษาของประธานอาเซียน นั่นคือ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี ของมาเลเซีย

“การไปในครั้งนี้ ไม่ได้ไปในฐานะแค่ไปงานเลี้ยง แต่ไปเพื่อทำคุณประโยชน์ ใช้ประสบการณ์ ใช้ความรู้ ความสามารถเพื่อประเทศชาติ สังคม และประชาชน ผมเข้าใจว่าเป็นเหตุที่จะได้มีโอกาสพบประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดการที่จะเดินทางไปที่การตาร์ โอกาสการได้พบไม่ใช่โอกาสของนายทักษิณคนเดียวแต่เป็นโอกาสของประเทศชาติ เพราะหลายคนกำลังเฝ้าดูว่า จะมีโอกาสได้เข้าไปคุยหรือไม่ และหลายประเทศก็หวังว่า จะได้มีโอกาสเข้าไปเจรจากับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แล้วไทยไม่อยากจะได้เข้าไปเจรจาหรืออย่างไร”

นั่นคือ คำพูดจากทนายของ นายทักษิณ ที่กล่าวทำนองว่าการไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศ จะทำให้ประเทศเสียโอกาส นั่นคือไม่ได้เจรจากับ ทรัมป์ และหากสังเกตจะเห็นว่าจะมีความพยายามขยายความในเรื่อง “การเสียโอกาส” ของประเทศมากขึ้น จากคนรอบข้างของเขา

อย่างไรก็ดี หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ในหลายเรื่องราวที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่เรื่อง “เทวดาชั้น 14” ที่สะท้อนออกมาในแบบ “อภิสิทธิ์ชน” ไม่เท่าเทียม การโชว์พลังในเรื่องกูรู ในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ ทั้งภายในและในภูมิภาค แต่เมื่อผลที่ออกมาเชิงประจักษ์ในช่วงสองปีนี้ และโดยเฉพาะหลังจากการดำรงตำแหน่งนายกฯของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ส่งผลทำให้ “เครดิต” ของ นายทักษิณ ทรุดลงเรื่อยๆ

หากสังเกตหลังจากที่ ศาลไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และ มีการนัดไต่สวนวันที่ 13 มิถุนายน พลังในเรื่องการ “กลั่นแกล้งรังแก” หรือแม้แต่ความพยายามในเรื่องทำให้ “ไทยเสียโอกาส” แทบจะไม่มีพลังเหลืออีกแล้ว เพราะหากเทียบกับในยุคก่อนจะต้องม็อบ หรือการเคลื่อนไหวกดดันแทน นายทักษิณ แต่เวลานี้ทุกอย่าง “เบาหวิว” ไม่มีน้ำหนักใดๆ เลย และยิ่งสังเกตในสังคมโซเชียล ยิ่งชัดเจนมีแต่เสียงตำหนิแทบทั้งนั้น

ดังนั้น หากกล่าวตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้ ไม่ต่างจากอาการที่เรียกว่ากำลัง “หมดบุญเก่า” เพราะถูกใช้หมดไปแล้ว หรืออีกมุมหนึ่งเหมือนกับว่ากาลเวลากำลัง “ประจาน” เขาให้เห็นมากขึ้น เพราะหากสังเกตจะเห็นว่า บรรดา“ตัวช่วย” ทั้งหลาย กำลังถดถอย และหมดพลังและความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ!!



กำลังโหลดความคิดเห็น