ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จาก "ป่าทิพย์" ถึงเวลาทบทวนความล้มเหลวของ กฟผ. กับโครงการปลูกป่าหลายพันล้าน!!
ในห้วงเวลาเพียง 2 ปี โครงการปลูกป่า CSR มูลค่าหลายพันล้านของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กลับกลายเป็นบทเรียนราคาแพง ที่กำลังสะท้อนความล้มเหลวของทั้งระบบ ตั้งแต่ภาวะผู้นำ การบริหารภายใน หน่วยกฎหมาย ไปจนถึงบทบาทของสหภาพแรงงาน!
“เทพรัตน์ เทพพิทักษ์” ผู้ว่าการฯ และ “ธวัชชัย สำราญวานิช” รองผู้ว่าการ ยุทธศาสตร์ กฟผ. ขาดภาวะผู้นำการบริหารจนทำให้เกิดวิกฤตศรัทธา!?
นั่นเพราะ ท่ามกลางเสียงร้องเรียนและหลักฐานการทุจริต "ปลูกป่าทิพย์" ที่เริ่มกระจายสู่สาธารณะ ผู้ว่าการ กฟผ. กลับเลือกความเงียบเหนือความเด็ดขาด ห่วงภาพลักษณ์มากกว่าห่วงอนาคตองค์กร ไม่กล้าฟัน ไม่กล้าตัดสินใจ จนปล่อยให้ปัญหาบานปลาย
ใครกันแน่ที่ควรยืนหยัดแทนองค์กร เมื่อไฟลุก?
ฝ่ายกฎหมายที่ทำหน้าที่เหมือนฝ่ายประนีประนอม
ฝ่ายกฎหมายของ กฟผ. กลับทำตัวเหมือน “กันชนให้ผู้บริหาร” มากกว่า “ผู้พิทักษ์องค์กร” ดึงเรื่อง ยืดเยื้อ ไม่ฟัน ไม่เดินหน้าเอาผิด
ทั้งที่ผู้ได้รับผลกระทบจากความเสียหายของโครงการปลูกป่าชัดเจนขึ้นทุกวัน
ประชาชนเสียภาษี พนักงานเสียขวัญ แต่องค์กรกลับเลือกปกป้องเพียงคนไม่กี่คน?
ด้าน สหภาพแรงงาน กฟผ. กลายเป็นหมาหวงก้าง หรือหางเครื่องผู้บริหาร ?
สหภาพฯ ที่ควรเป็นตัวแทนพนักงาน กลับนิ่งเงียบเป็นป่าช้า ทั้งที่โครงการปลูกป่าฯ มีความเสียหายเชิงระบบ เสียหายเป็นพันล้าน แล้วอนาคตอีก 8 ปีล่ะ? เสียหายแค่ไหนถ้าไม่มีคนกล้าเปิดโปง?
สหภาพฯ อยู่เพื่อปกป้องแรงงาน หรือเป็นเพียงตราประทับทางจริยธรรมให้องค์กร?
ในทางตรงกันข้าม คนทำงานตามหน้าที่ กลับถูกลงโทษ– คนวางแผนล้มเหลว กลับลอยนวล
ยิ่งตลกร้ายเมื่อพบว่า... คนที่ปฏิบัติงานตามนโยบายกลับถูกกลั่นแกล้ง ยุบหน่วยงาน สับเปลี่ยนตำแหน่ง ไม่ได้รับโบนัส ขณะที่คนวางแผนโครงการปลูกป่า กลับยังนั่งเก้าอี้เดิม รับโบนัสเต็ม ได้เลื่อนขั้น และไปพักร้อนต่างประเทศอย่างสบายใจ ซึ่งโครงการปลูกป่า ของ กฟผ. ไม่ได้ปลูกจริง แต่มีคนที่หลบหลีกการรับผิดชอบ กลับได้ได้รับโบนัส เงินเดือนเต็ม และผลประโยชน์มากมาย เป็นจริงเกิดขึ้นแล้ว!
คำถามจากประชาชนคือ... “ถ้าไม่มีการร้องเรียน เรื่องนี้จะเน่าลึกไปอีกกี่ปี?”
ขอถามตรงๆ ผู้บริหารระดับสูงทุกคนในกฟผ. – ท่านมีความกล้าหาญพอหรือไม่ ที่จะตรวจสอบคนในองค์กรตัวเอง?
หรือจะปล่อยให้ กฟผ.กลายเป็น "องค์กรพิเศษ" ที่พิเศษเฉพาะในความล้มเหลว ไม่รับผิด ไม่เยียวยา ไม่โปร่งใส
ถึงเวลาตีเหล็ก! ก่อนเหล็กจะเย็นจนตีไม่ขึ้นอีกต่อไป
พรุ่งนี้สายไป วันนี้ต้องฟัน!
++ เพิ่งถูกแบนไปปีเดียว “พิธา” นับถอยหลังแล้ว บอกอีก 9 ปี จะกลับมาเป็นนายกฯ ที่ดีที่สุดของไทย
เข้าสู่บรรยากาศโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาล ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ค.นี้
แต่ไหนแต่ไรมา การเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาล ผู้สมัครมักจะเป็นกลุ่มการเมืองในท้องถิ่น แต่ครั้งนี้เห็นชัดถึงความเคลื่อนไหวของ 2 พรรคใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชน ส่งผู้สมัครในนามพรรค และบรรดาแกนนำก็ออกมาเดินสายช่วยหาเสียงกันอย่างเอาจริงเอาจัง
เพราะต่างก็หวังให้การเมืองท้องถิ่นเป็นฐานของการเลือกตั้งสส.ที่จะมีขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
อย่างพรรคประชาชน ส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้นายก และสมาชิกสภาเทศบาล 39 จังหวัด 101 เทศบาล แบ่งเป็นเทศบาลนคร 16 แห่ง เทศบาลเมือง 28 แห่ง และเทศบาลตำบล 57 แห่ง และที่สำคัญมีแกนนำตัวพ่ออย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า รวมทั้ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงมาช่วยหาเสียง
ขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็โดดลงมากำกับเอง ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ “ทักษิณ” ก็เพิ่งไปปราศรัย ช่วยผู้สมัครของพรรค ที่ จ.เชียงใหม่ โดยคู่แข่งคนสำคัญก็คือ ผู้สมัครจากพรรคประชาชน
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา “ทักษิณ” เพิ่งปักธงนำ “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” ชนะเลือกตั้งนายกอบจ. เชียงใหม่ และครั้งนี้ก็หวังจะให้ “อัศนี บูรณุปกรณ์” แชมป์เก่าที่เป็นคนของพรรคเพื่อไทย รักษาเก้าอี้นายกเทศมนตรี เอาไว้ให้ได้ เชียงใหม่จะได้กลับมา “แดงทั้งจังหวัด” หลังจากเสียท่าให้ “พรรคส้ม” ยึดครอง สส.ไปเกือบทั้งจังหวัด
การปราศรัยของ “ทักษิณ” จึงเน้นไปในแนว “บลั๊ฟคู่แข่ง” และแกนนำพรรคส้ม ถึงขั้นเปรียบ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ว่าเป็น “หนุ่มซินตึ้ง”
...เขาบอกว่า พรรคประชาชนจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยได้ ก็ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทย ออกมาขอโทษประชาชนที่เคยทำผิดกับประชาชน เขาเอาอะไรมาพูด ตอนนี้พรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกล ติดหล่มอยู่กับการตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ที่ตั้งไม่ได้ โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง เพราะเขาจะเอา112 อยู่นั่น...
อย่างไรก็ตาม หลังจาก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งไต่สวน “ทักษิณ” และผู้เกี่ยวข้อง กรณีชั้น 14 คงทำให้ “ทักษิณ” หมดอารมณ์ที่จะไปช่วยหาเสียงที่จังหวัดอื่นๆอีก
ขณะที่พรรคประชาชน นอกจากจะมีแกนนำพรรคชุดปัจจุบันแล้ว ยังมี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นตัวชูโรง เรียกเสียงกรี๊ดของด้อมส้ม เวลาออกพบปะประชาชน
เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา “พิธา” ก็เพิ่งไปช่วยผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่หาเสียง มีทั้งขึ้นเวทีดีเบต ไปพบปะประชาชนที่ ชุมชนช้างม่อย เปิดสะพานส้มข้ามคลองแม่ข่า และช่วงเย็น ยังขึ้นเวทีปราศรัยบริเวณลานตรงข้ามอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ล่าสุด 4 พ.ค. “พิธา” ก็ได้ไปช่วยหาเสียงให้ “น.ส.เบญจมาภรณ์ ศรีละบุตร” ผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น โดยเริ่มที่สถานีขนส่งจังหวัดขอนแก่นแห่งเก่า
“พิธา”บอกว่า มี 4 เหตุผลหลัก ที่คนขอนแก่นควรเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน คือ ผู้สมัครของพรรค เป็นวิศวกรหญิง ข้าราชการหลอกไม่ได้ เพราะอ่านแบบเป็น คุมก่อสร้างได้... สอง มีนโยบายที่ชัดเจน ในการแก้ปัญหาให้คนขอนแก่น ด้วยคนขอนแก่น .. สาม คือเลือก 1 แถม 3 เลือกผู้สมัครขอ
พรรคประชาชน จะได้สส.อีก 3 คน มาช่วยทำงาน และ สี่ เลือกคนของพรรคประชาชน ก็จะได้พรรคอันดับ 1 ของประเทศไทย
“... แม้จะถูกตัดสิทธิ พรรคประชาชนก็ยังมี สส.เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยอยู่ดี จะได้คนเก่งๆ จากทั่วประเทศไทยมาจัดการ ผมเชื่อว่าคนขอนแก่นมีศักดิ์ศรี ซื้อไม่ได้ แล้วกลับมาฉลองกัน ผมเดินทางหาความรู้ทั่วประเทศ อีก 9 ปี กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย...”
ที่ผ่านมา “พิธา” เคยเป็นหัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่พาพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง แต่ไปไม่ถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ จนถูกล้อเลียนว่า เป็น นายกฯโซเชียล...นายกฯรถแห่...นายกฯทิพย์...นายกฯว่าว...
ครั้งนี้แม้จะเป็นการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ “พิธา” ก็ไม่ลืมที่จะพูดถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ตนเองเกือบจะได้สัมผัส แถมมองยาวไปในอนาคตอีก 9 ปี เพราะเขาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง10 ปี และเวลาเพิ่งผ่านไปปีเดียวเท่านั้น
แหม พูดแบบไม่เกรงใจเจ้าของพรรค อย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่จะพ้นโทษถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ในช่วงต้นปี 73 นี้ เลยนะ