กกต.เผยใช้ใช้เวลาไม่เกิน 60 วันทำคำวินิจฉัย "หมอเกศ" หลอกลวงเรื่องวุฒิการศึกษา ส่งศาลฎีกาสั่งตัดสิทธิ แจงคดีฮั้ว สว.คืบหน้า สอบประเด็นสมคบจะต้องสอบทุกคน จึงต้องใช้เวลา
วันนี้ (2 พ.ค.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงมติ เสียงข้างมากของที่ประชุม กกต. ให้ส่งศาลฎีกาเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและดำเนินคดีอาญาพ.ญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา กรณีกระทำการหลอกลวงเพื่อจูงใจให้ได้รับเลือกเป็นสว.ว่า การส่งเรื่องไปยังศาลจะดำเนินการหลังจากที่ประชุมกกตมีมติเมื่อวันที่ 30 เม.ย.
ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประเด็นอาจต้องใช้ระยะเวลา แต่กรอบการทำคำวินิจฉัยกำหนดไว้ 60 วัน เชื่อว่าไม่น่าจะเกินนี้ โดยชี้แจงเหตุผลการทำคำวินิจฉัยเพื่อใช้ประกอบการยื่นคำร้องต่อศาล เมื่อยื่นไปแล้วศาลจะใช้เวลาพิจารณาตามกระบวนการของศาล
นายอิทธิพร ยังกล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เริ่มจำลองเหตุการณ์เพื่อประกอบสำนวนคดีฮั้วเลือก สว. ว่าตามกระบวนการการให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ซึ่งต่างก็มีคณะทำงานสืบสวนของแต่ละหน่วยงาน โดยคณะทำงานสอบสวนใน กกต.ก็มีโครงสร้างที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมด้วย พร้อมชี้ว่าการบูรณาการงานร่วมกันจะเป็นประโยชน์
โดยการสอบสวนของ กกต. จะมุ่งเน้นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. หรือไม่ ส่วนการสอบของดีเอสไอ เป็นการสอบสวนว่ามีการกระทำผิดกฎหมายอื่นที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. หรือไม่
"การดำเนินการสอบสวนของ กกต. มีความคืบหน้าเรื่อยๆ คณะสืบสวนไต่สวนจะมีกรอบเวลาดำเนินการ และเหตุที่ต้องใช้เวลาเป็นเพราะต้องสอบพยานจำนวนมาก การที่มองว่าสมคบกันร่วมมือกันเป็นกลุ่ม การสอบนั้นจะต้องสอบผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนเพราะเรื่องนี้เป็นการดำเนินคดีความยุติธรรมที่มีโทษทางอาญา จะด่วนสรุปโดยปราศจากพยานหลักฐานที่ชัดเจนไม่ได้
ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่บ้างแต่ก็มีความคืบหน้าไปตามลำดับ และไม่สามารถแทรกแซงได้"
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่หากท้ายที่สุดในการดำเนินคดีอาจทำให้การเลือก สว. เป็นโมฆะ นายอิทธิพร กล่าวว่า พยายามจัดกระบวนการเลือกอย่างเต็มที่ตามกฏหมาย และถกในที่ประชุมเยอะมาก และต้องตัดสินใจดำเนินการ และวิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ กกต. เห็นว่าเป็นไปตามกฏหมายแล้วหากหลังจากนั้น มีจุดใดที่ขั้นตอนกลไกอื่นเห็นว่าไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องของกระบวนการนั้น